InvestmentTalk – ปรับพอร์ตรับปีงู 2556

แชร์บทความนี้

ปีมังกรที่ผ่านมาสำหรับนักลงทุนน่าจะเป็นที่สมหวังของนักลงทุนหลาย ๆ ท่าน โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับเพิ่มขึ้นสูงถึงประมาณ 35% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่ว ๆ ไปของตลาดหุ้น ขณะที่ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นมาเกือบ ๆ 10% และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของแบงค์ชาติได้ปรับลดลงมา 2 ครั้ง ๆ ละ 0.25% ในช่วงต้นปีกับปลายปีมาอยู่ที่ 2.75%

 

 

 

 

 

 

Yield Play

สังเกตได้ว่าในปี 2555 ที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจโลกจะมีปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรปคอยรุมเร้าอยู่ตลอดเวลา แต่ในภาวะที่สภาพคล่องในระบบมีสูงมากจากการอัดฉีดโดยธนาคารกลางทั่วโลกโดยเฉพาะอเมริกา และยุโรป ประกอบกับภาวะดอกเบี้ยต่ำทั่วโลก โดยทั้งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ต่างคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับใกล้ศูนย์ ทำให้สภาพคล่องที่อัดฉีดเข้ามาไหลไปหาการลงทุนที่มีดอกเบี้ย หรือเงินปันผลสูง (Yield Play) เช่น ตราสารหนี้ภาคเอกชน กองทุนอสังหาฯ หุ้นปันผล ซึ่งผมมองว่าแนวโน้มที่เห็นในปีนี้จะยังคงมีต่อไปในปีหน้า

Tail Risk

แม้ปัญหาในยุโรปจะได้รับการแก้ไขไปพอสมควร แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างยังคงมีอยู่ คือระดับหนี้สินที่มีอยู่สูง ขณะที่ความสามารถในการสร้างรายได้ของประเทศอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการว่างงาน และ NPL ในระบบที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งการที่ทางกลุ่มสหภาพยุโรป และธนาคารกลางยุโรปได้เข้ามาแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่องทำให้โอกาสที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่มีน้อยลง แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย ความเสี่ยงดังกล่าวเรียกอีกอย่างว่า Tail Risk หรือความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยแต่หากเกิดขึ้นจะมีผลกระทบรุนแรง การจะจัดพอร์ตการลงทุนในสถานการณ์แบบนี้ นักลงทุนยังควรมีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงพอสมควร แต่ควรจะกระจายการลงทุนในหลายชนิดสินทรัพย์ เพราะหากเน้นไปที่หุ้นอย่างเดียว หากเกิด Tail Risk ขึ้นจะทำให้เกิดผลขาดทุนอย่างมาก

ตัวอย่างคำแนะนำจัดพอร์ตเสี่ยงปานกลาง

สำหรับพอร์ตที่มีระดับความเสี่ยงปานกลาง ผมแนะนำให้ลงทุนแบบ Balance คือลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ 50% และสินทรัพย์เสี่ยงสูง 50% โดยมีรายละเอียด ดังนี้

– สินทรัพย์เสี่ยงต่ำประกอบไปด้วยตราสารหนี้ระยะกลาง 40% และตราสารหนี้ตลาดเงินระยะสั้น 10%

– สินทรัพย์เสี่ยงสูงประกอบด้วยหุ้นปันผล 30% กองทุนอสังหาฯ 10% และทองคำ 10%

ในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงต่ำผมแนะนำให้เน้นการลงทุนในตราสารหนี้อายุปานกลาง 2 – 3 ปี เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทย ที่มีโอกาสปรับลดลงได้ในปี 2556 จะเป็นประโยชน์ต่อตราสารหนี้อายุปานกลางหากนักลงทุนสามารถลงทุนได้ในระดับดอกเบี้ยที่สูงก่อนที่ดอกเบี้ยจะมีการปรับลดลง ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นแนะนำให้ลงทุนเพื่อเป็นสภาพคล่องเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพราะผลตอบแทนจะทยอยลดลงเรื่อย ๆ ตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย

ในปี 2556 ผมมองว่าตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนรวมต่ำกว่าปี 2555 เนื่องจากที่ดัชนี SET ปัจจุบันต้องยอมรับว่ามีระดับ P/E ที่ค่อนข้างเต็มมูลค่า อย่างไรก็ตามทิศทางแนวโน้มกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตต่อเนื่อง น่าจะส่งผลให้หุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกซึ่งผมคาดการณ์ที่ระดับ 10 – 15% และอาจมีความผันผวนที่มากขึ้นหากปัญหายุโรปทวีความรุนแรงขึ้น (Tail Risk) ดังนั้นกลยุทธ์ที่เหมาะสมในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยงสูคือการกระจายการลงทุนไปยังกองทุนอสังหาฯ ที่มีอัตราเงินปันผลค่อนข้างสูง และได้รับประโยชน์จากกระแสเงินในระบบโลกที่กำลังมองหาอัตราเงินปันผลที่สูง (Yield Play) นอกจากนี้การลงทุนในทองคำก็เป็นอีกสินทรัพย์หนึ่งที่น่าสนใจในปี 2556 เนื่องจากในภาวะที่มีการเพิ่มปริมาณเงินดอลลาร์อย่างมากผ่านมาตรการ QE จะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และโยกเงินไปลงทุนในทองคำมากขึ้น

ทั้งหมดก็เป็นแนวทางการจัดพอร์ตสำหรับปีมะโรง 2556 ที่กำลังจะมาถึง ผมขอใช้โอกาสนี้กล่าวสวัสดีปีใหม่กับท่านผู้อ่านทุกท่าน และขอให้ทุกท่านสมหวังกับการลงทุนในปี 2556 นี้ครับ

เจษฎา สุขทิศ – @FundTalk

 

Facebook Comments

แชร์บทความนี้
เจษฎา สุขทิศ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMENA & นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย คุณเจษฎา เคยปฏิบัติงานในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล และเคยร่วมงานเป็นผู้จัดการกองทุนกับกลุ่ม เจพี มอร์แกน, ไทยพาณิชย์ และยูโอบี นอกจากนี้ ในปัจจุบัน คุณเจษฎา รับหน้าที่เป็นวิทยากรด้านการเงิน และฟินเทค ให้กับภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ คุณเจษฎา เคยได้รับรางวัลนักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่งจากสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์, รางวัล Most Astute Investor จากนิตยสาร The Asset และรางวัล Morningstar Fund Award
Posts created 106

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top