มนต์เสน่ห์ของการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก – The Ultimate Choice by FundTalk

แชร์บทความนี้

เวลาคุยกับเพื่อนๆนักลงทุนที่ได้กำไรเยอะๆจากการลงทุนในหุ้น 2 เด้งบ้าง 3 เด้งบ้าง มักมีคำถามตามมาเสมอว่าเค้าลงทุนหุ้นอะไรกัน คำตอบที่ได้แทบจะทั้งหมดคือการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันครับว่ามันน่าสนใจอย่างไร แล้วทำไมนักลงทุนจำนวนมากมีความลุ่มหลงในหุ้นประเภทนี้กันนัก
“เริ่มจากพื้นฐานกันก่อน”

ตลาดหุ้นที่มีหุ้นอยู่หลายร้อยหลายพันตัวนั้นสามารถจัดกลุ่มตามขนาดของหุ้นออกมาได้ 3 กลุ่มคือ หุ้นขนาดใหญ่ หุ้นขนาดกลาง และหุ้นขนาดเล็ก แต่อย่าสับสนกันนะครับ ขนาดไม่ใช่ราคา การที่จะดูหุ้นว่ามีขนาดใหญ่หรือเล็ก ไม่ได้อยู่ที่หุ้นนั้นมีราคาสูงหรือต่ำ แต่อยู่ที่มูลค่าของกิจการของบริษัทนั้นๆอยู่ที่เท่าไรหรือที่เราเรียกว่า Market Cap นั่นเอง วิธีหาการหามูลค่ากิจการก็ไม่ยากคือการนำจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทนั้นๆคูณกับราคาหุ้นปัจจุบัน เช่น บริษัท A มีจำนวน 1,000,000 หุ้น ราคาหุ้นละ 5 บาท ก็แปลว่า Market Cap หรือมูลค่าของบริษัทนั้นเท่ากับ 5,000,000 บาท (1,000,000 x 5)

 

ในตลาดหุ้นโลกหุ้นขนาดใหญ่หรือที่เรียกว่า Big Cap คือหุ้นที่มีมูลค่ากิจการใหญ่มากๆ โดยมักหมายถึงหุ้นที่มี Market Cap มากกว่า 10,000 ล้านเหรียญหรือประมาณ 3.5 แสนล้านบาทนั่นเอง และก็มักจะเป็นหุ้นที่เราได้ยินชื่อกันบ่อยๆ เช่น Apple, Microsoft, Coca Cola เป็นต้น ในขณะที่หุ้นขนาดกลางมักมีมูลค่ากิจการที่ต่ำกว่าคือระหว่าง 5,000 – 10,000 ล้านเหรียญ (1.7 – 3.7 แสนล้านบาท) ซึ่งก็มักจะเป็นกลุ่มที่นักลงทุนนิยมเข้าไปลงทุนเนื่องจากทิศทางของบริษัทเริ่มมีความแน่นอนมั่นคง และสุดท้ายหุ้นขนาดเล็กมักหมายถึงหุ้นกลุ่มที่มีมูลค่ากิจการต่ำกว่า 5,000 ล้านเหรียญ หรือต่ำกว่า 1.7 แสนล้านบาท หุ้นประเภทนี้มักเป็นที่จับตามองของนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงเนื่องจากมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า โดยสิ่งที่นักลงทุนพยายามมองหาคือหุ้นขนาดเล็กที่กำลังจะกลายเป็นหุ้นขนาดกลางหรือขนาดใหญ่ในอนาคต

 

“ดัชนีและความน่าสนใจของหุ้นขนาดเล็ก”

เมื่อเราพูดถึงดัชนีที่เป็นตัวแทนของหุ้นขนาดใหญ่เรามักนึกถึง S&P500 Index ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 500 ตัวแรกเข้าด้วยกันและสร้างเป็นดัชนี ในขณะที่ดัชนีที่เป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็กคือ Russell 2000 Index ซึ่งเป็นการรวมกันของหุ้น 2000 ตัวที่มีขนาดเล็กที่สุดในสหรัฐ

 

บ่อยครั้งเวลาที่ผมลงทุน หุ้นที่ชอบเข้ามาเตะตาผมคือหุ้นขนาดเล็กๆที่หลายๆคนไม่ค่อยสนใจ เนื่องจากบริษัทพวกนี้มักยังมีรายได้ไม่มาก แต่ถ้าหากมีผู้บริหารที่เก่งๆ อาจสามารถนำพาบริษัทไปได้อีกไกลเลยทีเดียว ไม่เหมือนกับหุ้นขนาดใหญ่ๆ ที่มีกำไร 4-5 หมื่นล้าน หากจะเพิ่มกำไรซักหนึ่งเท่าตัวเป็น 1 แสนล้านนั้นไม่ง่ายเลย รวมถึงโดยธรรมชาติปลาใหญ่ชอบกินปลาเล็ก บริษัทเล็กๆมักถูกซื้อกิจการ (takeover) โดยบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่า ทำให้มูลค่าของบริษัทเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ

 

“ของดีที่ยังไม่มีคนเห็น”

abags1

จะใช้คำว่าเพชรในตมก็คงไม่ผิดนัก นักวิเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่เลือกที่จะ cover บริษัทที่มีขนาดใหญ่เพราะมีคนสนใจมาก และเป็นที่รู้จักของนักลงทุนทั่วๆไป ไม่ต้องอธิบายมาก ทำให้ข้อมูลต่างๆของบริษัท Big Cap ถูกวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว เมื่อมีข้อมูลใหม่ๆออกสู่ตลาดข้อมูลเหล่านั้นจะถูกวิเคราะห์และสะท้อนในราคาแทบจะทันที ในทางตรงกันข้าม จากข้อมูลของ Bloomberg หุ้น Small Cap มักมีนักวิเคราะห์เฉลี่ยเพียง 7 คนเท่านั้น ในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่มีนักวิเคราะห์ติดตามประมาณ 21 คนหรือมากกว่า 3 เท่า ทำให้หุ้นขนาดเล็กที่ไม่ค่อยมีใครสนใจมีโอกาสที่จะมีของดีที่ยังไม่ถูกค้นพบมากขึ้น

 

“เด็กๆโตเร็ว”

abags2

สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการลงทุนในบริษัทต่างๆคือ “กำไร” ราคาหุ้นที่จะขึ้นหรือลงในระยะยาวก็อยู่ที่ “กำไร” ทำให้กำไรคือหัวใจของการลงทุนในบริษัทต่างๆ ถ้าบริษัทนั้นไม่มีกำไรราคาหุ้นก็คงจะตกลงเรื่อยๆ กำไรตกหุ้นก็ลง กำไรเพิ่มหุ้นก็ขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเฟ้นหาหุ้นคือ “กำไรที่โตอย่างก้าวกระโดด” อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่าบริษัทใหญ่ๆจะเพิ่มกำไรเป็นเท่าตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในทางตรงกันข้ามบริษัทเล็กๆประกอบกับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์สามารถทำให้ผลกำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ จากข้อมูลของ FactSet และ Morningstar พบว่า Earning Per Share Growth (EPS Growth) ของหุ้นขนาดเล็กหรือการเติบโตของกำไรต่อหุ้นนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่อย่างมีนัยสำคัญรวมถึงอัตราส่วนราคาต่อผลกำไรหรือ Price/Earning ด้วยเช่นกัน

 

“ของดีดี ก็มีแต่คนอยากได้”

abags3

บริษัทขนาดเล็กที่สามารถเติบโตและสามารถสร้างผลกำไรได้ดีมักเป็นเป้าหมายในการซื้อกิจการ (takeover) จากบริษัทที่มีขนาดใหญ่กว่าอาจเพื่อเป็นการขยายกิจการ เพื่อตัดคู่แข่ง หรือเพื่อการได้มาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆก็ตาม จากการศึกษาในอดีตพบว่า เมื่อมีการซื้อกิจการเกิดขึ้นนักลงทุนควรซื้อหุ้นของบริษัทที่ถูกซื้อกิจการไม่ใช่บริษัทที่เป็นผู้เข้าไปซื้อ เนื่องจากบริษัทที่เข้าไปซื้อมองเห็นว่าบริษัทที่ถูกเข้าไปซื้อนั้นมีราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ข้อมูลจาก Bloomberg พบว่าตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาเมื่อเกิดการซื้อกิจการขึ้นบริษัทที่เข้าไปซื้อยินดีจ่ายแพงกว่า 20 – 30% เลยทีเดียว ซึ่งแน่นอนว่าหุ้นขนาดเล็กมักเป็นเป้าหมายของการซื้อกิจการและราคาหุ้นมักปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงที่มีข่าวว่าจะถูกซื้อกิจการ

 

“แล้วลงทุนที่ไหนดี”

มาถึงจุดนี้นักลงทุนหลายท่านคงมีคำถามมากมายและสงสัยว่าจะซื้อหุ้นขนาดเล็กได้อย่างไรที่ไหนดี ประเทศที่มีหุ้น small cap เยอะที่สุดในโลกคงหนีไม่พ้นสหรัฐฯ เมื่อมีหุ้น small cap อยู่เยอะทำให้นักลงทุนมีโอกาสมากกว่าในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ทลงทุน นอกจากนั้นสหรัฐฯ มีสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง รายได้มวลรวมประชาชาติ (GDP) ล่าสุดอยู่ที่ +3.3% จากที่เคยติดลบเกือบ 4% ในช่วงปี 2008 ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวอย่างชัดเจนของประเทศสหรัฐฯ โดยรวม นอกจากนั้นหากดูที่ภาคแรงงาน อัตราการว่างงานที่เคยสูงกว่า 10% ในช่วง Hamburger Crisis ปี 2009 ปัจจุบันกลับมาอยู่ที่เพียง 4.7% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาคแรงงานมีความแข็งแกร่งมาก ประชาชนได้ทำงานที่อยากทำ รวมถึงล่าสุดมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกด้วย ซึ่งบ่งบอกถึงรัฐบาลมีความมั่นใจมากว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังเติบโตได้ด้วยดี

abags4

หากมองที่ตลาดหุ้นขนาดเล็กในโลก พบว่ามีขนาดประมาณ 4.4 แสนล้านเหรียญ แต่กว่า 40% หรือประมาณ 1.8 แสนล้านเหรียญอยู่ในสหรัฐ! นับว่าลงทุนในประเทศเดียวครอบคลุมกว่า 40% ของหุ้นขนาดเล็กทั่วโลกเลยทีเดียว นอกจากนั้นตลาดหุ้นในสหรัฐฯ เองประกอบด้วยหุ้นขนาดเล็กกว่า 70% ของตลาดทั้งหมด นับว่าเป็นประเทศที่มีความน่าสนใจมากสำหรับการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก

 

“แล้วจะลงทุนยังไงดี”

นักลงทุนในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังมีการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กไม่มากนัก เนื่องจากมีอุปสรรคหลายอย่างเช่น หุ้นขนาดเล็กในประเทศไทยไม่มีสภาพคล่องเพียงพอ ทำให้เกิดปัญหาซื้อได้แต่ขายไม่ได้! หรือบางคนอาจไม่มีเวลาติดตามมากพอ ทำให้เกิดการขาดทุนอย่างหนักในหุ้นขนาดเล็ก รวมถึงไม่มีเวลาศึกษาที่มากพอ ทำให้การลงทุนหุ้นขนาดเล็กในประเทศไทยดูจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ทำให้นักลงทุนเริ่มสนใจลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐ แต่คงไม่มีเวลาไปศึกษาด้วยตัวเอง เนื่องจากไกลจากประเทศเรามาก ดังนั้นวิธีการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดคือการลงทุนผ่านกองทุนรวม

Aberdeen American Growth – Smaller Companies Fund หรือ ABAGS เป็นกองทุนที่บริหารจัดการโดยบลจ.อเบอร์ดีน ที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องการคัดเลือกหุ้นและการลงทุนหุ้นแบบเน้นคุณค่า (Value Investment) ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี กองทุนกองนี้เปิดตัวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และได้รับความสนใจจากนักลงทุนในบ้านเราอย่างมากทำให้ปัจจุบันมีขนาดเกือบ 1,000 ล้านบาท

 

“กองทุนนี้ไปลงทุนอะไร”

กองทุนกองนี้ไปลงทุนในกองทุนหลัก Aberdeen Global – North American Smaller Companies Fund ซึ่ง Aberdeen เองเป็นบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำระดับโลกที่ออกขายให้กับนักลงทุนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ (มี market capital น้อยกว่า 5000 ล้านเหรียญ) ปัจจุบันผู้จัดการกองทุนลงทุนในหุ้นขนาดเล็กแบบเน้นๆเพียง 50 ตัวจากกว่า 2000 ตัว (ในดัชนี Russell 2000 และหุ้นขนาดเล็กอื่นๆ) ซึ่งหุ้น 10 ตัวแรกที่กองทุนถือมีมูลค่าเป็น 1 ใน 4 ของขนาดกองทุนเลยทีเดียว นักลงทุนบางท่านอาจคิดว่าการลงทุนในหุ้น 50 ตัวนั้นมันกระจายเกินไป แต่ส่วนตัวผมคิดว่าหุ้นขนาดเล็กเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นการกระจาย 50-100 ตัวนั้นเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมทำให้พอร์ตการลงทุนเสียหายไม่มากในกรณีที่หุ้นที่เลือกไม่เป็นไปดังหวังนะครับ

 

“ผลตอบแทนที่ผ่านมา”

abags5

ตั้งแต่ตั้งกองทุนเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2558 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2559แม้ว่าตลาดหุ้นทั่วโลกจะมีความผันผวนสูงและเกิดความไม่แน่นอน ทั้งเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐและผล Brexit ที่ทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกไปทั่วโลก แต่กองทุน Aberdeen American Growth – Smaller Companies Fund (เส้นสีฟ้า) ให้ผลตอบแทนสูงถึง 4%* ในขณะที่ดัชนีหุ้นขนาดเล็กโดยรวม (Russell 2000 Total Return) ในเส้นสีเหลือง ให้ผลตอบแทนติดลบ -2.3% นับว่าผู้จัดการกองทุนมีฝีมือในการคัดเลือกหุ้นเข้าลงทุนได้ดีทีเดียว ถือได้ว่าเป็นกองทุนที่น่าสนใจอย่างยิ่งครับ

*แหล่งที่มา Bloomberg

abags6

สุดท้ายไปดูที่ผลตอบแทนกองทุนแม่ที่ต่างประเทศกันบ้าง Aberdeen Global – North American Smaller Companies Fund ถ้าลองดูผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2014 ผลตอบแทนกองทุนอยู่ที่ 24.64% (สีชมพู) เอาชนะได้ทั้งหุ้นขนาดใหญ่อย่าง S&P 500 ที่ให้ผลตอบแทน 19% (สีส้ม) และเอาชนะดัชนี Russel 2000 ที่เป็นตัวแทนหุ้นขนาดเล็กของสหรัฐฯ ที่ให้ผลตอบแทน 1.4% (สีเหลือง) ไปแบบขาดลอย เรียกว่าถ้าเป็นเรื่องการเลือกหุ้น Aberdeen ของเค้าดีจริงครับ

 

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aberdeen-asset.co.th/fundtalk

 

*บทความข้างต้นเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ผลตอบแทนในอดีตไม่ได้บ่งบอกถึงผลการดำเนินงานในอนาคต นักลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะและความเสี่ยงของกองทุนโดยละเอียดก่อนเข้าลงทุน

 

Fund Talk รายงาน

Facebook Comments

แชร์บทความนี้
เจษฎา สุขทิศ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMENA & นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย คุณเจษฎา เคยปฏิบัติงานในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล และเคยร่วมงานเป็นผู้จัดการกองทุนกับกลุ่ม เจพี มอร์แกน, ไทยพาณิชย์ และยูโอบี นอกจากนี้ ในปัจจุบัน คุณเจษฎา รับหน้าที่เป็นวิทยากรด้านการเงิน และฟินเทค ให้กับภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ คุณเจษฎา เคยได้รับรางวัลนักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่งจากสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์, รางวัล Most Astute Investor จากนิตยสาร The Asset และรางวัล Morningstar Fund Award
Posts created 106

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top