นักลงทุนดันโด หลายคนคงสงสัยว่าเป็นนักลงทุนประเภทไหน ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือเล่มนี้ซึ่งเขียนโดย Mohnish Pabrai และแปลโดย พรชัย รัตนนนทชัยสุข ซึ่ง Mohnish Pabrai เป็นคนบริหารกองทุน Pabri Funds มีสินทรัพย์ที่บริหาร 300 ล้านดอลลาร์ สมาชิกที่รวมลงทุนมี 400 ครอบครัวทั่วโลก โดยไม่มีสถาบันการเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง และเขาเป็นผู้วิเคราะห์หุ้นเพียงคนเดียว ซึ่งหากนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 1999 กองทุน Pabri Funds สร้างผลตอบแทนทบต้นต่อปีได้สูงกว่า 28% โดยที่เขามีต้นแบบในการลงทุนคือ วาร์เรน บัพเฟตต์
นักลงทุนส่วนใหญ่คงจะได้ยินคำว่า High risk-High return หรือ High risk-High expected return นั้นก็คือนักลงทุนจะยอมลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงสูงก็ต่อเมื่อได้ผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย แต่นักลงทุนดันโดได้พลิกความเชื่อนี้ โดยมีหลักคิดที่ว่า “การได้ผลตอบแทนที่สูงสุด ในขณะที่มีความเสี่ยงต่ำสุด”
Mohnish Pabrai ได้เริ่มต้นเขียนเกี่ยวกับนักลงทุนดันโดในหนังสือของเขาจากคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเป็นคนตระกูลพาเทล อพยพมาจากประเทศอินเดียเข้ามาในประเทศสหรัฐฯในช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 โดยปราศจากการศึกษาและเงินทุน โดยที่ปัจจุบันนี้ตระกูลพาเทลเป็นเจ้าของกิจการเกินครึ่งของธุรกิจโมเต็ลทั้งหมดในประเทศสหรัฐฯ โดยมีสินทรัพย์มูลค่ารวมมากกว่า 40 พันล้านดอลลาร์ คนกลุ่มนี้มีหลักคิดอย่างไรและสร้างความมั่งคั่งได้อย่างไร และเราสามารถนำหลักคิดเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในการลงทุนของเราได้อย่างไร?
Dhandho เป็นคำในภาษากุจาราตี หมายถึง “ความพยายามสร้างความมั่งคั่ง” เป็นแนวทางการทำธุรกิจแบบให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงต่ำ
หลักคิดของนักลงทุนดันโดมีอยู่ 9 ข้อที่สำคัญ ได้แก่:
1. มุ่งเน้นไปที่การซื้อธุรกิจซึ่งดำเนินการอยู่แล้ว
โดยผู้เขียนพยายามเปรียบเทียบให้เห็นข้อดีข้อเสียในการลงทุนในตลาดหุ้นกับการทำธุรกิจด้วยตัวเอง
- การทำธุรกิจด้วยตัวเองนั้นต้องลงทุนทั้งด้านการเงินและการบริหารงาน
- ถ้าคุณซื้อหุ้น เราจะมีผู้บริหารงานที่มีความรู้ความชำนาญในด้านนั้นๆ และยังเปิดโอกาสให้เราเลือกได้เป็นเจ้าของตามสัดส่วนเงินลงทุนและใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่าการเริ่มทำธุรกิจ
- การซื้อขายในตลาดหุ้นนั้นคุณมีโอกาสซื้อสินทรัพย์ได้มาในราคาถูกมากๆ และสามารถขายได้ที่ราคาแพงๆ ได้เช่นกัน
- การทำธุรกิจคุณต้องใช้จำนวนเงินมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กก็ตาม แต่คุณสามารถใช้เงินจำนวนน้อยกว่าในการซื้อหุ้นและสามารถเพิ่มจำนวนไปได้เรื่อยๆ
- มีหุ้นที่จดทะเบียนให้คุณซื้อมากมายทั้งในและต่างประเทศ แต่จะมีตัวเลือกน้อยกว่าหากคุณอยากจะซื้อบริษัทซัก 1 บริษัท
2. ซื้อธุรกิจเรียบง่ายในอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
- ต้องลงทุนเฉพาะธุรกิจที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ซึ่งเป็นบริษัทที่คุณสามารถทำความเข้าใจได้เป็นอย่างดี และต้องมีข้อมูลยาวนานเพียงพอที่จะให้เราวิเคราะห์ ซึ่งคุณต้องสามารถคาดการณ์กระแสเงินสดและกำไรจากการดำเนินงานได้ ซึ่งจะมีผลมากในเรื่องการหามูลค่าหุ้น
3. ซื้อธุรกิจที่มีปัญหาในอุตสาหกรรมซึ่งกำลังอยู่ในภาวะยากลำบาก
- มองหาหุ้นที่เจอข่าวร้าย และหุ้นถูกขายออกมาอย่างไร้เหตุผล
- ลองมองหาหุ้นที่มี PE,PBV ที่ต่ำมากๆ หรือหุ้นที่ให้ปันผลสูงๆ ลองเข้าไปเจาะลึกรายละเอียดคุณอาจจะเจอของดีราคาถูกก็เป็นได้
- ค้นคว้าหาข้อมูลหุ้นตามเว็บไซด์ต่างๆ หรือหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับหุ้น คุณอาจจะค้นพบหุ้นที่น่าสนใจ
หากเราพบหุ้นที่มีปัญหาหลายตัว เราควรเลือกหุ้นกลุ่มที่เรามีความเข้าใจเป็นอันดับแรกในการวิเคราะห์
4. ซื้อธุรกิจที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอันยั่งยืน
- ธุรกิจที่ทำการวิเคราะห์นั้นไม่ได้หมายความว่าต้องมีอัตราการเติบโตที่สูง แต่ต้องมีความได้เปรียบบริษัทอื่นที่ยั่งยืน อาทิเช่น การมีต้นทุนที่ถูก การมีแบรนด์สินค้าที่แข่งแกร่ง สินค้าและการบริการมีนวัตกรรม ซึ่งบริษัทคู่แข่งเลียนแบบได้ยาก และที่สำคัญต้องพิจารณาดูในงบดุลด้วยว่ามีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนได้สูงๆ ด้วยหรือเปล่า
นักวิเคราะห์ดันโดยังไม่จบนะครับ ครั้งหน้าหน้าเรามาต่อกันนะครับว่าอีก 5 ข้อที่เหลือมีอะไรบ้าง รับรองว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย และสามารถนำไปประยุกต์กับการลงทุนกับตัวเราได้ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้น หรือคนที่สนใจทำธุรกิจ น่าจะลองหาหนังสือเล่มนี้มาลองอ่านดูนะครับน่าจะได้หลักคิดในการลงทุน หรือทำธุรกิจไม่มากก็น้อย แล้วพบกันครั้งหน้ากับนักลงทุนดันโดตอนที่ 2 นะครับ