InvestmentTalk – ผลทดสอบเครื่องมือชี้จุดซื้อขายยอดนิยม 3 ตัว กับ SET Index ย้อนหลัง 5 ปี

แชร์บทความนี้

ตามที่ได้นำเสนอบทความก่อนหน้า เรื่อง “MACD เครื่องมือชี้จุดซื้อบอกจุดขาย พร้อมผลทดสอบความแม่นยำย้อนหลัง 20 ปี” (http://fundmanagertalk.com/invesment-talk-mac/) โดยผมได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะลองทดสอบกับ Indicator (เครื่องมือชี้จุดซื้อขายหลักทรัพย์) ยอดนิยมตัวอื่นๆ ด้วย ตอนนี้ทดสอบเสร็จแล้ว จึงขอเชิญติดตามกันครับ

จากการสอบถามบุคคลในวงการลงทุนจำนวนหนึ่ง พบว่า Indicator ที่ได้รับความนิยมได้แก่.
.
1. Moving Average Convergence/Divergence หรือ MACD
2. Average Directional Index หรือ ADX
3. Slow Stochastic Oscillator หรือ SSTO
.
ซึ่งทั้งหมดเป็นเครื่องมือที่นำกราฟที่มีคุณสมบัติต่างกันหลายเส้น เช่น ระยะเวลา Moving Average ไม่เท่ากัน หรือ นับเฉพาะราคาขาขึ้นหรือขาลง มาซ้อนทับกันเพื่อหาจุดตัดกันและใช้ิเป็นจุดตัดสินใจซื้อขายหลักทรัพย์
.
อย่างไรก็ดี บทความนี้ตั้งใจจะเน้นที่ผลการทดสอบย้อนหลัง จึงขอไม่ลงรายละเอียดที่มาและ วิธีการคำนวณของ Indicator ทั้ง 3 ตัว หากท่านใดสนใจศึกษาในรายละเอียดก็สามารถติดตามไปอ่านต่อได้ที่่ลิงค์เหล่านี้นะครับ
.
กลับมาที่การทดสอบ ผมใช้วิธีการเดียวกันกับการทดสอบ MACD ย้อนหลัง 20 ปี แต่เพื่อให้ใช้เวลา ไม่มากเกินไป (เพราะต้องทำถึง 3 Indicator) ผมจึงเลือกใช้ระยะเวลา 5 ปีแทน คือตั้งแต่ 21 ก.ค. 48 ถึง 23 ก.ค.53 ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าพอใช้ได้ เพราะได้ผ่านทั้งช่วงเวลาที่ตลาดขึ้นแรง มาจนเจอวิกฤติการเงินโลก กลับฟื้นตัวขึ้นมา และ Sideway ในช่วงท้ายๆ จึงอาจเรียกได้ว่าครบวัฎจักรพอสมควร
.
(ข้อมูลดิบจาก eFin Smart Portal)
.
ซึ่งได้ผลออกมาดังนี้
.
.
พอจะสรุปได้ว่า

• ระดับความแม่นยำของทั้ง 3 Indicator ค่อนข้างใกล้เคียงกันที่ 40% ถึง 45% และสอดคล้องกับการทดสอบ MACD 20 ปีย้อนหลังอีกด้วย

• ตลอดระยะเวลา 5 ปี MACD และ ADX แต่ละตัวมีการซื้อขาย 87 และ 81 ครั้ง ตามลำดับ เทียบกับ SSTO ซึ่งมีการซื้อขายตามสัญญาณถี่กว่ามาก คือ 220 ครั้ง น่าจะเกิดจากการที่ SSTO ให้สัญญาณเร็วกว่า (ซึ่งการซื้อขายบ่อยครั้งกว่าก็จะมีค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์มากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน)

• การซื้อขายตาม SSTO ให้ผลกำไรต่ำสุด และยังมีกำไรที่คาดหวัง (กำไรหรือขาดทุน x ความน่าจะเป็น) ติดลบอีกด้วย (แถมยังต้องจ่ายค่าคอมม์มากกว่า MACD และ ADX อีกต่างหาก)

• การซื้อขายตาม ADX ให้ผลกำไรสูงสุด ซึ่งมากกว่าการ Buy & Hold ถึง 5 เท่ากว่าๆ และน่าสังเกตว่า ADX กลับเป็นตัวที่ให้สัญญาณน้อยครั้งที่สุด เรียกได้ว่าช้าแต่ชัวร์

ก็หวังว่าผลทดสอบครั้งนี้ จะจุดประกายให้ท่านผู้อ่านนำเอา Technical Indicator มาประกอบในการตัดสินใจลงทุนกันมากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่าจะช่วยสร้างผลกำไรให้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์รวมถึงธรรมาธิบาลของผู้บริหาร ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องกระทำควบคู่กันไป เพราะจะช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนและเพิ่มโอกาสในการได้กำไรให้ทวีคูณขึ้นไปครับ

อนึ่ง ผลการทดสอบนี้นำมาจากช่วงหนึ่งของเวลาเท่านั้น ซึ่งหากเปลี่ยนกรอบเวลาไปจากนี้ ก็อาจให้ผลออกมาต่างกัน และอาจจะมี Indicator ตัวอื่นๆ ที่ช่วยสร้างผลกำไรได้ดีกว่าตัวที่ผมกล่าวถึงในครั้งนี้ก็เป็นได้ ซึ่งหากผู้รู้ท่านใดมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ขอน้อมรับไว้ด้วยความขอบพระคุณครับ

Facebook Comments

แชร์บทความนี้
คุณ ศกุนพัฒน์ จิรวุฒิตานันท์ (SJ, Keng) ปัจจุบันทำงานด้านการลงทุนอยู่ที่บริษัทเงินทุน กรุงเทพธนาทร จำกัด (มหาชน) (Bangkok First Investment & Trust Public Company Limited หรือ "BFIT") ในตำแหน่ง Head of Investment Advisory Department ดูแลงานระดมทุนของบริษัท ควบกับตำแหน่ง Investment Committee ดูแลเงินลงทุนในหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ตราสารหนี้ และบริหารสภาพคล่องของธุรกิจผ่านธุรกรรมในตลาดเงิน ในด้านคุณวุฒิ สอบผ่านหลักสูตร Certified Investment & Securities Analyst Level 2 (CISA II) ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้เป็นนักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ และผู้แนะนำการลงทุนด้านตลาดทุน รวมถึงได้รับอนุญาตจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ให้เป็นผู้ค้าตราสารหนี้ขึ้นทะเบียน SJ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโท (MBA, Finance) จาก The University of Western Australia และเคยทำงานวิเคราะห์สินเชื่อลูกค้าเกษตรอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
Posts created 24

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top