เจษฎา สุขทิศ, CFA | 31 ธ.ค. 54
เผลอหน่อยเดียว ปีกระต่ายก็กำลังจะผ่านพ้นไปแล้วนะครับ เป็นอย่างไรกันบ้างกับผลตอบแทนจากพอร์ตการลงทุนในรอบปีที่ผ่านมา ต้องนับว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ผันผวนมากทีเดียว โดยมีปัจจัยรุมเร้าทั้งภายนอกจากฟากยุโรป และปัจจัยภายในจากปัญหาน้ำท่วม ส่วนในภาคการเมืองก็มีการเปลี่ยนแปลงขั้วรัฐบาลใหม่ มีการเปลี่ยนแปลงผู้นำและการปกครองในลิเบีย เกิดปรากฎการณ์ Occupy Wallstreet การปรับลดอันดับ ratings ของสหรัฐฯ รวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ในยุโรปฯลฯ
สำหรับบทความฉบับนี้สามารถดูคลิป 5-minute with FundManagerTalk.com on YouTube channel ประกอบกับเนื้อหาบทความได้ด้วยครับ ปีใหม่ทั้งทีผู้เขียนขอจัดเต็มที่ประเดิมซักรอบ ^_^
httpvh://www.youtube.com/watch?v=u_hz7HRMOKU&context=C3c96225ADOEgsToPDskLaX0_bvVbjSbClUpIf7r3c
ทบทวนผลตอบแทนของแต่ละสินทรัพย์ปีกระต่าย “ทองคำ กับพันธบัตรสหรัฐฯ ครองแชมป์”
สำหรับตลาดหุ้นไทยในปี 2011 ที่เปิดในระดับพันต้น ๆ ก็ได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดประมาณ 1,150 ในเดือนสิงหาคม จากนั้นก็ทิ้งดิ่งลงในช่วยกันยา – ตุลามาแตะที่ระดับต่ำสุดประมาณ 850 ก่อนที่จะไต่ระดับกลับมา on par ที่พันต้น ๆ ในช่วงปลายปี เรียกได้ว่าเหวี่ยงเป็นรถไฟเหาะตีลังกาเลยทีเดียว มาดูกันครับว่าผลงานของสินทรัพย์แต่ละชนิดในปี 2011 เป็นอย่างไรกันบ้าง
ตลาดหุ้นทั่วโลก – 6.9% | หุ้นอเมริกา Dow Jones +5.5% | หุ้นยุโรป -18% | หุ้นญี่ปุ่น – 17.8% | หุ้นเอเชีย – 14.6% | หุ้นไทย – 0.7%
ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลก + 5.81% | พันธบัตรสหรัฐ +8.92% | พันธบัตรอังกฤษ +17% | พันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก +6.03% | หุ้นกู้เอกชนทั่วโลก +5.02% | Junk Bond +3.04%
ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ -1.18% | น้ำมันดิบ +13.9% | ทองคำ +8.9% | ตะกั่ว (Copper) -21%
ค่าเงินดอลลาร์ + 1.60% | ค่าเงินยูโร – 2.1% ค่าเงินเยน + 5.5%
ประเด็นยุโรปจะยังคงมีความสำคัญต่อเนื่องในปี 2012
เห็นได้ชัดว่าในปีที่ผ่านมาไม่มีตลาดไหนที่ให้กำไรเป็นกอบเป็นกำเกินกว่า 20% เลย ขณะที่ตลาดสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความผันผวนค่อนข้างมากเนื่องจากมีปัจจัยรบกวนเยอะ ผมมองว่าภาพความผันผวนของสินทรัพย์ลงทุนในปีหน้ายังจะมีอยู่ต่อไป โดยปัญหาหนี้สาธารณะของรัฐบาลในกลุ่มประเทศยุโรปจะยังคงมีต่อไป ทุกครั้งที่รัฐบาลของประเทศ Portugal, Italy, Ireland, Greece, Spain ไม่สามารถปรับลดรายจ่าย – เพิ่มรายได้ ตามเป้าหมายก็จะเกิดความกังวลต่อตลาดต่อไป อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าในระยะหลังธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ได้ปรับนโยบายเป็นเชิงรุกมากขึ้น โดยการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาด เห็นได้จากขนาดงบดุลของ ECB ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนับตั้งแต่ Mario Draghi เจ้าของฉายา “Super Mario” ชาวอิตาลี เข้ารับตำแหน่งสูงสุดของ ECB ล่าสุดขนาด Balance Sheet ของ ECB โตกว่าของ FED ไปเรียบร้อยแล้่ว สอดคล้องกับค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าหลุดระดับ 1.30 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
ในปี 2012 ผมมองว่าเราจะได้เห็นขนาดของ Balance Sheet ของ ECB ที่จะขยายใหญ่ขึ้นอีกมาก เนื่องจากความจำเป็นที่ต้องเข้าไปช่วยอัดฉีดสภาพคล่องให้กับระบบเศรษฐกิจของยูโร ซึ่งนำไปสู่มุมมองของค่าเงินยูโรในปี 2012 ที่ผมมองว่าจะอ่อนค่าต่อ ซึ่งจะนำไปสู่การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทยเราจึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อได้อีกโดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2012 อย่างไรก็ตามการอ่อนค่าของยูโรในรอบนี้น่าจะมาพร้อมกับการปรับตัวดีขึ้นของ Risky Asset อย่างหุ้น หรือโภคภัณฑ์ เนื่องจากสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจโลกมีเพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ปีมังกรทอง “กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้กระแสเงินสดดี”
ผมมองตลาดหุ้นไทยปีมังกรทองจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกประมาณ 10 – 20% โดยการเติบโตของกำไรในปี 2012 น่าจะอยู่ที่ประมาณ 10 – 15% หรือ EPS ของ SET ปีหน้าที่ประมาณ 95 หากคูณด้วย PE 12 เท่าก็จะได้เป้าหมายดัชนีที่ 1140 จุด หรือผลตอบแทนประมาณ11% โดยหากมอง upside และ downside ตลาดโดยใช้ช่วง P/E Ratio 10 – 14 เท่าก็จะได้ช่วงของดัชนีที่ 950 – 1330 จุด แสดงว่าที่ดัชนีระดับปัจจุบันก็ยังพอมี downside อยู่บ้างเหมือนกั้น แต่ผมมองว่าจะไม่มีการเหวี่ยงลงแรง ๆ ถึง 300 จุดอย่างที่เกิดขึ้นในปี 2011 อีกแล้วเนื่องจากเงื่อนไขเรื่องสภาพคล่องของตลาดโลกเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่ ECB เข้ามาฉีดสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง
ทิศทางดอกเบี้ยไทยในปี 2012 ผมมองว่าดอกเบี้ยนโยบายของประเทศไทยจะทรงตัวที่ระดับ 3.0 – 3.5% เท่ากับว่าแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นน่าจะผ่านพ้นไปแล้วดังนัั้นการลงทุนในตราสารหนี้ที่อายุยาวขึ้น เช่น 3 – 5 ปี ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหุ้นกู้ภาคเอกชนที่มีอัตราดอกเบี้ยส่วนเพิ่มให้กับนักลงทุน
ในส่วนของสินค้าโภคภัณฑ์ ภายหลังจากปีที่แล้วผมให้ น้ำมัน และทองคำเป็นพระเอก (อ่าน “จัดพอร์ตลงทุนรับปีกระต่ายทอง” ) ปีหน้าผมคิดว่าน่าจะกลับมาเป็นปีที่ดีของสินค้าเกษตรอีกครั้งเพราะสภาพคล่องในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นน่าจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้า และปัญหาภัยธรรมชาติที่มีมากขึ้นทำให้ผลผลิตออกมาน้อยกว่าที่คาด ขณะที่น้ำมันน่าจะมี upside ไม่มากนักจากระดับ 100 เหรียญในปัจจุบันเนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังค่อนข้าง slow ส่วนทองคำผมยังชอบสำหรับการลงทุนในระยะยาวเนื่องจาก mega trend จากอุปสงค์ของทองคำเพื่อการลงทุน แต่ระยะสั้นราคาทองคำอาจถูกกดดันเนื่องจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์
อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในปีมังกรทอง คือหลักทรัพย์ที่ให้กระแสเงินสดดีอย่างหุ้นปันผล และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากปีหน้าผมมองอัตราผลตอบแทนจากตลาดหุ้นก็ดูจะไม่ได้สูงมากมาย ขณะทีความผันผวนยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่จ่ายปันผลดี ๆ อย่างกองทุนอสังหาฯ ที่มีรายได้หลักมาจากค่าเช่า ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากอัตราเงินปันผลที่ค่อนข้างสูงประมาณ 7 – 10% ขณะที่ความผันผวนมีไม่มากนัก
สุดท้ายขอสวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอขอบคุณที่ติดตาม Fundmanagertalk.com ตลอดปีกระต่ายที่ผ่านมา และขอให้ท่านผู้อ่านทุกคนได้รับผลตอบแทนที่ดีในปี “มังกรทอง” ที่กำลังจะมาถึงครับ
ติดตามบทความจากเหล่ากูรูด้านการลงทุนได้ที่ FundManagerTalk.com และสำหรับท่านที่ชอบใช้ Social Media เชิญไปคุยกันได้ที่ facebook และ Twitter นะครับ