InvestmentTalk – จิตวิทยากับการลงทุน (2)

แชร์บทความนี้

ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM

ในครั้งก่อนได้แนะนำให้นักลงทุนรู้จัก Behavioral finance ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับกระบวนการตัดสินในลงทุนไปพอสังเขป ในครั้งนี้จะขอนำเสนอพฤติกรรมการลงทุนที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนแบบอื่นๆ เพื่อขยายขอบเขตความเข้าใจใน Behavioral finance มากขึ้น

Representativeness

มนุษย์มักมีพฤติกรรมเปรียบเทียบสิ่งที่ตนกำลังประสพอยู่กับประสบการณ์ที่ตนเคยพบเห็นมาในอดีต และมีแนวโน้มที่จะพยายามหาหลักฐานหรือตัวอย่างของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาเป็นเงื่อนไขในการพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นตามมาและช่วยให้การตัดสินใจของตนง่ายขึ้น เช่น ความเชื่อที่ว่านักเรียนที่สามารถทำคะแนนเฉลี่ยในการศึกษาระดับมัธยมปลายจะประสบความสำเร็จในการสอบเข้าและเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เป็นต้น อย่างไรก็ดีเงื่อนไขง่ายๆ เหล่านั้นอาจไม่ใช่ปัจจัยบ่งชี้เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาได้ดีเพียงพอ เนื่องจากตัวอย่างที่นำมาเปรียบเทียบอาจไม่ใช่ตัวอย่างที่ดี และปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอาจมาจากหลายสาเหตุ หรือสาเหตุเดียวกันก็อาจทำให้เกิดผลที่ตามมาได้หลากหลาย การใช้เงื่อนไขง่ายๆ เพียงหนึ่งหรือสองเงื่อนไขจึงไม่อาจพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมาได้อย่างแม่นยำ เช่น นักเรียนที่ได้เกรดเฉลี่ย 4.00 ในระดับมัธยมปลายอาจไปเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ตนไม่ชอบหรือไม่ถนัดทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย เป็นต้น

ตัวอย่างของ Representativeness ที่มักพบเห็นได้บ่อยในกระบวนการตัดสินใจลงทุนมีดังต่อไปนี้

1) การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดีจะเป็นการลงทุนที่ให้ผลกำไร บริษัทที่มีความแข็งแกร่งและผลประกอบการที่ดีอย่างสม่ำเสมอย่อมเป็นทางเลือกในการลงทุนที่ดี แต่นักลงทุนก็สามารถขาดทุนมหาศาลจากบริษัทที่มีผลประกอบการที่ดีได้ หากเข้าซื้อหุ้นดังกล่าวที่ราคาสูงเกินไป หรือเข้าซื้อหุ้นในขณะที่ผลกำไรของบริษัทปรับตัวสูงสุด (Peak of the business cycle) และมีแนวโน้มที่จะแย่ลง เป็นต้น การลงทุนจึงควรพิจารณาโดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดในอนาคตมากกว่าอดีตที่ผ่านไปแล้ว

2) กลยุทธ์การลงทุนแบบไล่ราคา คือกลยุทธ์การลงทุนที่ไล่ซื้อหุ้นที่ราคากำลังปรับตัวขึ้นโดยคาดว่าราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นต่อไป แม้ว่าการลงทุนแบบไล่ราคาอาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำกำไรให้นักลงทุนได้ แต่หากการปรับตัวของราคาหุ้นขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่เกี่ยวข้องในระยะยาวเป็นเพียงพฤติกรรมแห่ตามกันอย่างขาดเหตุผล การลงทุนแบบไล่ราคาก็อาจจบลงด้วยผลขาดทุนที่คาดไม่ถึงได้ นอกจากนี้งานวิจัยในต่างประเทศก็ยังระบุว่าหุ้นที่มีผลการดำเนินงานดีกว่าตลาด (Outperform market) ในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้า จะมีผลการดำเนินงานที่แย่กว่าตลาดในช่วง 2-3 ปีต่อไป (Underperform market) จึงไม่อาจรับประกันได้ว่าหุ้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในอดีตจะให้ผลกำไรดีอย่างต่อเนื่องในอนาคต

กล่าวโดยสรุป Representativeness เป็นพฤติกรรมที่จะลดทอนประสิทธิภาพการเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์โดยใช้เหตุผลของนักลงทุน ทำให้การตัดสินใจลงทุนขาดความรอบคอบ และมักทำให้เกิดการขาดทุนอย่างไม่คาดหมาย การตัดสินใจลงทุนจึงควรวิเคราะห์สาเหตุ (ปัจจัยพื้นฐาน ภาวะตลาด และสภาพแวดล้อมการลงทุน ฯลฯ) อย่างรอบคอบเพื่อคาดการณ์ผลลัพธ์ (การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น) ที่จะเกิดตามมามากกว่าการใช้เงื่อนไขง่ายๆ เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจดังกล่าวข้างต้น

Fear of regret & Seeking of pride

Fear of regret คือ พฤติกรรมที่นักลงทุนกลัวที่จะต้องยอมรับว่าการตัดสินใจของตนผิดพลาด เป็นเหตุให้ไม่ตัดใจขายหุ้นที่ตนลงทุนผิดพลาดออกไป นักลงทุนจึงขาดทุนจากการไม่ยอมรับความจริงนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ คำกล่าวที่มักพบบ่อยในกรณีนี้ เช่น ไม่ขายไม่ขาดทุน ขาดทุนอย่าขาย เป็นต้น ในความเป็นจริงหากผลขาดทุนที่เกิดขึ้นนั้นจากปัจจัยที่ส่งผลระยะยาว เช่น ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่แย่ลงและกำลังจะแย่ต่อไปอีก การถือครองหุ้นนั้นต่อไปจะยิ่งทำให้ขาดทุนมากขึ้นๆ การตัดใจขายหุ้นนั้นออกไปเพื่อไปลงทุนในหุ้นตัวอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่ามาชดเชย หรือขายออกไปก่อนเพื่อรอรับหุ้นนั้นกลับในราคาที่ถูกกว่าจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลกว่า

Seeking of pride คือ พฤติกรรมที่นักลงทุนรู้สึกยินดีเมื่อรู้ว่าการตัดสินใจของตนถูกต้อง จึงพยายามขายหุ้นเพื่อรับรู้กำไรโดยละเลยการพิจารณาปัจจัยแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เป็นเหตุให้นักลงทุนขายหุ้นที่ดีเร็วจนเกินไปจนเสียโอกาสที่จะทำกำไรจำนวนมากจากหุ้นนั้น

Fear of regret และ Seeking of pride เป็นพฤติกรรมที่กดดันให้นักลงทุนขายหุ้นที่แย่ช้าเกินไป (Hold loser too long) และขายหุ้นที่ดีเร็วเกินไป (Sell winner too early) ซึ่งอาจลดทอนผลกำไรจากการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ นักลงทุนจึงควรตัดความรู้สึกดังกล่าวออกจากกระบวนการตัดสินใจลงทุน โดยยึดมุมมองต่อหุ้นเหล่านั้นในอนาคตเป็นหลักในการตัดสินใจ นักลงทุนพึงระลึกอยู่เสมอว่าหากราคาหุ้นที่ถือครองปรับตัวลดลงต่ำกว่าราคาที่ซื้อแปลว่านักลงทุนได้ขาดทุนไปแล้วแม้ว่านักลงทุนจะยังไม่ขายหุ้นออกไปก็ตาม ดังนั้นหากนักลงทุนเชื่อว่าราคาหุ้นดังกล่าวอาจปรับตัวลงต่อได้อีกก็ควรจะขายหุ้นนั้นออกไปไม่ว่าจะซื้อมาที่ราคาเท่าไร (Stop loss) ในทางกลับกันหากนักลงทุนเชื่อว่าหุ้นดังกล่าวจะปรับตัวสูงขึ้นควรถือครองหุ้นนั้นๆต่อไปไม่ว่าจะได้กำไรมาแล้วเท่าใดก็ตาม (Let’s profit run)

Facebook Comments

แชร์บทความนี้
ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM ผู้ก่อตั้งเพจ Indy Investor Forum จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโท จากคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี สาขาวิชาการเงินและการธนาคาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณชาตรีเริ่มต้นการทำงานในสายการเงินในตำแหน่ง Management Trainee บมจ.ธนาคารกรุงไทย เมื่อปี 2546 ก่อนจะเริ่มต้นการทำงานในด้านการบริหารกองทุนในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน ฝ่ายกองทุนผสม บลจ. กสิกรไทย ในปี 2548 ก่อนย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายตราสารทุน บลจ.เอ็มเอฟซี เมื่อปี 2551 และปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ คุณชาตรีมีประสบการณ์บริหารจัดการกองทุนตราสารทุน ทั้งในรูปแบบกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีความสนใจการลงทุนในตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารอนุพันธ์ต่างๆ นอกจากนี้คุณชาตรียังมีประสบการณ์เป็นอาจารย์พิเศษให้กับ ม.วลัยลักษณ์ ม.หอการค้าไทย และ ABAC อีกด้วย
Posts created 15

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top