InvestmentTalk – จิตวิทยากับการลงทุน (3)

แชร์บทความนี้

ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM

ในเนื้อหาสองตอนก่อนได้แนะนำให้นักลงทุนรู้จักกับ Behavioral finance ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการนำหลักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้กับกระบวนการตัดสินในลงทุนไปพอสมควรแล้ว ครั้งนี้จะกล่าวถึงพฤติกรรมการลงทุนที่เหลือ เพื่อขยายขอบเขตความเข้าใจใน Behavioral finance ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

Cognitive dissonance

เมื่อคนเราพบว่าความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ในโลกแตกต่างไปจากความเชื่อที่ตนยึดมั่นถือมั่น มนุษย์มักมีพฤติกรรมต่อต้านโดยสัญชาติญาณ และพยายามจะทำให้ความจริงที่ประจักษ์และความเชื่อของตนเป็นไปในทางเดียวกัน เช่น ธรรมชาติของนักลงทุนมักเชื่อมั่นในความสามารถในการทำกำไรจากการลงทุน เมื่อเกิดผลขาดทุนขึ้น ข้อแก้ต่างมากมายเท่าที่จะนึกได้จะถูกนำมากล่าวอ้างเพื่อปกป้องความเชื่อมั่นในการลงทุนของตนไว้ เช่น “ถ้าตลาดหุ้นในภูมิภาคไม่ตกอย่างหนักในวันนี้ก็คงไม่ขาดทุน” “ถ้าบริษัทไม่ประกาศผลขาดทุนออกมาเสียก่อนก็คงได้กำไร” “ในพอร์ตมีหุ้นอยู่หลายตัวขาดทุนไปแค่ตัวเดียวไม่เป็นไร” เป็นต้น

ตัวอย่างของผลที่ตามมาจากพฤติกรรมที่นักลงทุนพยายามจะหลีกเลี่ยง Cognitive dissonance ได้แก่

  • Selective recall คือ พฤติกรรมที่เลือกจำเมื่อการตัดสินใจของตนถูกต้อง เมื่อมีโอกาสพูดคุยก็คนอื่นๆ ก็มักพูดถึงเฉพาะการลงทุนที่ตนทำกำไรได้ บางครั้งนักลงทุนก็อาจไม่ได้ตั้งใจปกปิดการลงทุนของตนแต่เป็นเพราะว่าจำไม่ได้จริงๆ นักลงทุนจึงมีความสุขอยู่เสมอเมื่อนึกถึงการลงทุนของตน แต่ก็ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาดและทำผิดซ้ำรอยเดิม
  • Selective evaluate คือ พฤติกรรมที่ถือว่าผลกำไรที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความสามารถในการลงทุนของตน ในขณะที่กล่าวโทษผลขาดทุนว่าเป็นผลสิ่งแวดล้อมหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันอื่นๆ นักลงทุนจึงไม่รู้สาเหตุของความผิดพลาด หรือรู้แต่ปฏิเสธว่าไม่ใช่ความผิดของตน ข้อผิดพลาดของนักลงทุนจึงไม่ได้รับการแก้ไข

โดยสรุป Cognitive dissonance เป็นพฤติกรรมที่ขัดขวางกระบวนการเรียนรู้ในระยะยาวของนักลงทุน โดยการปฏิเสธความจริงเพื่อปกป้องความเชื่อของตน ซึ่งแท้จริงแล้วการขาดทุนไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่านักลงทุนล้มเหลวในการลงทุนโดยสิ้นเชิง หากแต่เป็นสิ่งเตือนในให้นักลงทุนได้ระลึกถึงสาเหตุของความผิดพลาด และปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจลงทุนให้รัดกุมขึ้น การยอมรับผลขาดทุนจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย พึงระลึกไว้เสมอว่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จล้วนแล้วแต่เคยประสบกับผลขาดทุนมาแล้วแทบทุกราย

Familiarity

นักลงทุนมีแนวโน้มที่จะเลือกลงทุนในสิ่งที่ตนมีความคุ้นเคย โดยใช้ความคุ้นเคยเป็นทางลัดในการตัดสินใจลงทุน เช่น ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ลงทุนในบริษัทตนทำงานอยู่ ลงทุนในบริษัทที่ตนซื้อสินค้าและบริการ หรือกระทั่งลงทุนในบริษัทที่คนรู้จักบอกว่าดี เป็นต้น

การลงทุนในสิ่งที่นักลงทุนคุ้นเคยย่อมดีกว่าลงทุนในสิ่งที่ไม่รู้จัก แต่การใช้ความคุ้นเคยเป็นเหตุผลหลักในการตัดสินใจ อาจทำให้นักลงทุนขาดความรอบคอบในการตัดสินใจลงทุน ขาดการติดตามความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่ลงทุน และประเมินความเสี่ยงจากการลงทุนต่ำเกินไป นอกจากนี้การลงทุน “เฉพาะ” สิ่งที่คุ้นเคยโดยเพิกเฉยต่อการเรียนรู้ทางเลือกในการลงทุนใหม่ ยังส่งผลให้นักลงทุนเสียโอกาสในการลงทุนที่ดี และการกระจายการลงทุนขาดประสิทธิภาพได้ โลกของการลงทุนนั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การลงทุนจึงต้องอาศัยการติดตามข้อมูล และการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ไม่มีที่สิ้นสุด

House money

ได้แก่พฤติกรรมที่นักลงทุนนำกำไรที่ได้จากการลงทุนครั้งก่อนมาลงทุนต่อในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นมากๆ เพราะถือว่าผลกำไรที่ได้มาจากการลงทุนก่อนหน้าไม่ใช่เงินทุนของตนแต่เป็นเงินที่ได้เปล่า (Free money) พฤติกรรมดังกล่าวทำให้นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งแท้จริงแล้วกำไรที่ได้มาไม่ใช่ของฟรีหากแต่ได้มาเพราะแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนในครั้งก่อน ซึ่งการลงทุนครั้งต่อไปไม่จำเป็นว่าจะต้องได้กำไรเสมอไป การรับความเสี่ยงมากเกินความจำเป็นอาจทำให้ผลกำไรที่ได้มาหายไปอย่างรวดเร็ว และอาจขาดทุนเงินต้นได้ในที่สุด ดังนั้นนักลงทุนจึงควรถือกำไรที่จากการลงทุนเสมือนเป็นเงินทุนของตนและพยายามเพิ่มค่าของเงินต้นและผลกำไรที่ได้มาก่อนหน้าตามระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมกับตนเอง

Try to break even

เมื่อเกิดผลขาดทุนจากการลงทุนนักลงทุนอาจต้องการได้เงินทุนของตนกลับมาโดยเร็ว จึงพยายามลงทุนเสี่ยงมากขึ้นเพื่อคาดหวังกำไรมาชดเชยผลขาดทุนที่เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น หรือเพิ่มเงินลงทุนลงไปในการลงทุนเดิมที่มีอยู่ (ซื้อถัวต้นทุน) หากภาวะการลงทุนยังเป็นไปทิศทางเดิมการเพิ่มความเสี่ยงรังแต่จะทำให้ผลขาดทุนมากขึ้น นักลงทุนจึงควรตัดสินใจลงทุนโดยยึดการคาดการณ์โดยใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เพราะนักลงทุนไม่อาจกำหนดความเป็นไปของตลาดได้ ทำได้เพียงปรับการลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาดและความเสี่ยงที่ตนรับได้เท่านั้น

ในครั้งหน้าจะเป็นบทสรุปของ “จิตวิทยากับการลงทุน” พร้อมคำแนะนำสำหรับนักลงทุนที่สนใจ

Facebook Comments

แชร์บทความนี้
ชาตรี โรจนอาภา, CFA, FRM ผู้ก่อตั้งเพจ Indy Investor Forum จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และระดับปริญญาโท จากคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี สาขาวิชาการเงินและการธนาคาร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คุณชาตรีเริ่มต้นการทำงานในสายการเงินในตำแหน่ง Management Trainee บมจ.ธนาคารกรุงไทย เมื่อปี 2546 ก่อนจะเริ่มต้นการทำงานในด้านการบริหารกองทุนในตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน ฝ่ายกองทุนผสม บลจ. กสิกรไทย ในปี 2548 ก่อนย้ายไปดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายตราสารทุน บลจ.เอ็มเอฟซี เมื่อปี 2551 และปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ. ไทยพาณิชย์ คุณชาตรีมีประสบการณ์บริหารจัดการกองทุนตราสารทุน ทั้งในรูปแบบกองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคลและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีความสนใจการลงทุนในตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารอนุพันธ์ต่างๆ นอกจากนี้คุณชาตรียังมีประสบการณ์เป็นอาจารย์พิเศษให้กับ ม.วลัยลักษณ์ ม.หอการค้าไทย และ ABAC อีกด้วย
Posts created 15

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top