ตลาดหุ้นไทยที่ผ่านมามีการปรับตัวขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา หากตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น (Bull market) ทุกคนล้วนแต่มีความยินดีปรีดาที่สามารถทำกำไรได้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการเลือกหุ้นของแต่ละคน แต่ก็ยังแฝงไว้ในความกังวลว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้นานแค่ไหน หากปรับตัวขึ้นต่อจะซื้อตามตลาดเพราะกลัวตกขบวนรถไฟดีหรือไม่ หรือว่าถ้าตลาดปรับตัวลง จะกลับเข้าไปซื้อที่จุดรับที่เท่าไร หรือความกังวลที่ว่าขายไปแล้วแต่หุ้นกลับขึ้นต่อ ทำให้รู้สึกเสียดายที่รีบขายเร็วไปหน่อย ในทางกลับกันหากตลาดอยู่ในช่วงขาลง (Bear market) นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดต่างเศร้าหมอง รู้สึกหมดกำลังใจกับตลาดหุ้นอาจยอมตัดขายขาดทุน แต่ยังมีบางคนมีความหวังว่าตลาดน่าจะมีรีบาวด์กลับมาบ้างจะได้ขายขาดทุนน้อยลง หรือบางคนก็ปล่อยเลยตามเลยไหนๆก็ขาดทุนเยอะแล้ว ขายไปก็เสียดายเปลี่ยนตัวเองจากนักลงทุนระยะสั้นเป็นนักลงทุนถือยาว (ไม่ใช่นักลงทุนระยะยาว) แต่ในวิกฤตย่อมมีโอกาสสำหรับนักลงทุนบางกลุ่มที่เห็นว่าช่วงตลาดขาลงเป็นโอกาสในการเข้าไปซื้อหุ้นราคาถูก แต่ก็ยังมีความกลัวว่าตลาดอาจจะลงต่อ ก็อาจส่งผลให้เป็นชาวดอย ทำให้เกิดความลังเลใจในการที่จะเข้าซื้อ สุดท้ายก็อาจที่จะกลับเข้าไปซื้อในราคาที่สูงกว่าในตอนแรก
เหตุการณ์ข้างต้นนักลงทุนหลายท่านคงเคยพบกับสถานการณ์ข้างต้นด้วยตัวเอง หรือว่าได้ยินจากคนอื่นเหล่าให้ฟัง แต่สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ “ความกลัว” ไม่เคยห่างหายไปจากตลาดหุ้น ไม่ว่าตลาดหุ้นจะอยู่ในสภาวะแบบใด ความกลัวจะเกิดขึ้นตลอดเวลา เราจะมีวิธีการบริหารความกลัวเหล่านั้นได้อย่างไร
วิธีบริหารความกลัว
- มีสติ อย่าตกใจหากตลาดหุ้นเกิดความผันผวนอย่างหนัก จงยืนอยู่ข้างนอกหากในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยฝุ่นตลบ
- ให้ความสำคัญกับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากระยะสั้นราคาหุ้นมีความผันผวน ราคาหุ้นควรมีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกับกำไรของบริษัทในระยาว
- ยึดมั่นในหลักความคิดของตนเอง มีเหตุผลเพียงพอในการตัดสินใจในการซื้อหรือขายหุ้น กระบวนการทางความคิดในการตัดสินใจมีความสำคัญกว่าผลลัพธ์ เนื่องจากนักลงทุนไม่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอไป แต่หากคุณมีกระบวนการในการตัดสินใจที่ดีจะช่วยลดข้อผิดพลาดลงได้
- ลงทุนในสิ่งทีคุณเข้าใจเป็นอย่างดี หรืออีกนัยหนึ่งคืออย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ เนื่องจากหากมีปัจจัยอะไรที่เข้ามามีผลกระทบ จะทำให้คุณสามารถวิเคราะห์ปัจจัยเหล่านั้นว่าจะมีผลกระทบกับหุ้นตัวนั้นได้อย่างถูกต้อง
ตลาดหุ้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความกลัวก็ยังคงอยู่กับตลาดหุ้นเสมอ เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับความกลัว และสร้างเกราะป้องกัน พยายามควบคุมไม่ให้ความกลัวนั้นมีอิทธิพลอยู่เหนือการตัดสินใจที่มีเหตุผล ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายได้ อย่างไรก็ตามความกลัวคงไม่สามารถกำจัดได้ 100% แต่วิธีการที่กล่าวมาข้างต้นน่าจะเป็นสิ่งที่เตือนสตินักลงทุนได้ แต่วิธีการที่ผมนำเสนอนั้นอาจดูเสมือนว่าเป็นวิธีที่ธรรมดา หรือบางคนอาจจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ แต่เวลาใดก็ตามที่คนเราเกิดความกลัวขึ้นมา ส่วนใหญ่จะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ ซึ่งมันเกิดข้อผิดพลาดได้ค่อนข้างง่าย แต่ถ้าหากตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็เป็นไปได้ แต่บางครั้งความกลัวก็ไม่น่ากลัวเสมอไปสำหรับนักลงทุนที่มีสติ จากคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่กล่าวว่า “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ จงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”