มีท่านผู้อ่านที่ติดตามผ่านทาง http://facebook.com/FundManagerTalk หลายท่าน เกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดแม้จะเกิดความไม่สงบทางการเมืองในครั้งนี้ แต่ตลาดหุ้นกลับวิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีนักลงทุนหลายท่านที่ได้ขายลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปตั้งแต่ช่วงวันพิพากษาวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 วันนั้น SET Index อยู่ประมาณ 721 และก็มีอีกหลาย ๆ ท่านที่ขายเงินลงทุนใน SET ในช่วงที่มีการชุมนุมนับตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนถึง ณ ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้ SET Index อยู่ที่ 818 จุด ท่ามกลางแรงซื้ออย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ บทความวันนี้จะเป็นบทความที่สะท้อนความเห็นของผู้เขียนที่วิเคราะห์มุมมองที่ตลาดหุ้นมีต่อการเมือง และเศรษฐกิจครับ
ณ ขณะเดียวกับที่มีผู้ชุมนุมออกเรียกร้องอยู่ทั่วกรุงเทพ และปิดถนนสายสำคัญหลายสาย ยอดขายรถในงานมอเตอร์โชว์ของปี 2553 ก็ทำสถิติขายสูงกว่า 25,000 คัน สูงกว่าปีที่แล้วกว่าหมื่นคัน ท่ามกลางเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นล้านบาท ที่มาแรงที่สุดก็หนีไม่พ้น Nissan March อีโคคาร์ของค่าย Nissan ที่ได้รับประโยชน์จาก “First Mover Advantage” ไปเต็ม ๆ โดยค่ายนิสสันกวาดยอดขายไปกว่า 2,600 คัน เป็นอันดับสองรองจากค่าย Toyota
เช่นเดียวกับค่ายธนาคารโลก หรือ World Bank ที่ได้ออกมาปรับประมาณการ GDP ของไทยในปี 2553 ขึ้นเป็น 6.2% ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงมากกว่าการประมาณการของแบงค์ชาติ, สภาพัฒน์, และนักเศรษฐศาสตร์ของหลาย ๆ ค่าย การที่ World Bank มองเศรษฐกิจไทยดีขนาดนี้ สะท้อนถึงมุมมองว่าความไม่ปกติทางการเมืองที่เกิดในปีนี้จะไม่กระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมากนัก ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นหากเราดูไปที่ตัวเลขการบริโภค การลงทุน และการส่งออก ที่เติบโตได้ดีมากในปีนี้
หากมองกลับไปที่เหตุการณ์รัฐประหารในช่วงปลายปี 2549 ในช่วงนั้นกลับมีนักวิเคราะห์หลายค่ายที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ จากผลกระทบทางการเมือง แม้ในความเป็นจริงตลาดหุ้นในปี 2550 ก็ได้ปรับขึ้นมาพอสมควร ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอันเนื่องมาจากเกิดการรัฐประหารมักจะทำให้กระบวนการงบประมาณ และความเชื่อมั่นของต่างชาติลดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่การชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นบนระบบประชาธิปไตยที่มีรัฐบาลที่มจากการเลือกตั้ง ยังคงมีรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากต่างชาติว่าเป็นรัฐบาลจากกระบวนการประชาธิปไตย และรัฐบาลยังคงสามารถประคับประคองเศรษฐกิจ รวมถึงกระบวนการงบประมาณต่าง ๆ ได้ดีกว่า
ในปี 2553 นี้ก็เช่นกัน ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นยังคงเกิดขึ้นบนพื้นฐานการปกครองแบบประชาธิปไตย ที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และโอกาสที่จะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารก็ดูจะมีน้อย หากดูจากท่าทีของทางฝ่ายทหาร และเป็นที่เห็นได้ชัดว่าประชาชนรับไม่ได้หากเกิดการปฏิวัติ ดังนั้นไม่ว่าผลของการชุมนุมครั้งนี้จะออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่ หรือไม่ยุบสภาในช่วงนี้ ก็จะยังคงมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่นักลงทุนต่างชาติยังคงยอมรับได้ ประกอบกับการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจไทย รวมถึงเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย และเศรษฐกิจโลก และราคาหุ้นของประเทศไทยยังจัดได้ว่ามีค่า P/E Ratio และ Dividend Yield ที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาค จึงเป็นสาเหตุให้เงินของนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่องในปีนี้ครับ อย่างไรก็ตามหาก SET Index ปรับขึ้นไปจนถึงระดับราคาที่แพงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาค ผมเชื่อเช่นเดียวกันว่าจะเกิดเงินทุนไหลออกไม่น้อยทีเดียวเหมือนกัน เนื่องจากว่าปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองของประเทศไทยจัดได้ว่าสูงกว่าประเทศอื่น ๆ โดยทั่วไปครับ สุดท้ายนี้ก็ขอภาวนาให้ประเทศเราผ่านพ้นความปั่นป่วนไปให้ได้โดยเร็ว ซึ่งคงต้องเริ่มจากการยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างของคนอื่น “แตกต่าง แต่ไม่แตกแยก” ที่สุดแล้วเราก็คนไทยด้วยกันครับ
ติดตามบทความเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนโดย คุณเจษฎา สุขทิศ และผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอีกหลายท่านได้ที่ http://fundmanagertalk.com สำหรับท่านที่สนใจติดตามเรื่องการลงทุนแบบทันสถานการณ์ มาแลกเปลี่ยนกันได้ที่ http://twitter.com/FundTalk สวัสดีปีใหม่ไทยล่วงหน้าครับ