InvestmentTalk – ออมเงิน กับ พันธบัตรออมทรัพย์

แชร์บทความนี้

หลังจากพันธบัตรไทยเข็มแข็งของกระทรวงการคลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากมาย ครั้งนี้ถึงคราวแบงค์ชาติออกพันธบัตรออมทรัพย์กันบ้าง บางท่านอาจสงสัยว่าทำไมแบงค์ชาติต้องกู้เงิน มีเงินไม่พอหรือ ? คำตอบคือ ไม่ใช่ครับ สาเหตุที่แบงค์ชาติตัดสินใจออกพันธบัตรออมทรัพย์ในครั้งนี้ เพราะต้องการให้นักลงทุนมีทางเลือกในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเปิดโอกาสให้สหกรณ์ มูลนิธิ และองค์การสาธารณะที่ไม่มุ่งหวังกำไรได้มีโอกาสลงทุนในพันธบัตรออมทรัพย์ รวมถึงเป็นการปรับสภาพคล่องในตลาดเงินของประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

สรุปรายละเอียด พันธบัตรออมทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 1

วันที่เปิดขาย             3, 4 และ 7 กันยายน 2552 นี้

ปริมาณที่ออก           50,000 ล้านบาท

วงเงินซื้อขั้นต่ำ          50,000 บาทต่อราย

อายุ                         แบ่งออกเป้น 2 รุ่น อายุ 4 ปี และ 7 ปี

ดอกเบี้ย                   รุ่น 4 ปี จ่ายดอกเบี้ย 3.5% ต่อปี

รุ่น 7 ปี จ่ายดอกเบี้ยแบบขั้นบันได ปีที่ 1 – 2 ร้อยละ 3, ปีที่ 3 – 4 ร้อยละ 4, ปีที่ 5 – 6 ร้อยละ 5, ปีที่ 7 ร้อยละ 6

ภาษี                         หักภาษี ณ ที่จ่ายเหมือนการฝากเงิน และลงทุนในพันธบัตรอื่น ๆ

สถานที่จำหน่าย       ธนาคารแห่งประเทศไทย และ ธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง

ผลตอบแทนและความน่าลงทุน

ผลตอบแทนของ รุ่น 4 ปี ก่อนภาษีคือ 3.5% หลังหักภาษีอยู่ที่ 2.975%

ตอบแทนของ รุ่น 7 ปี เมื่อคิด IRR ก่อนภาษีอยู่ที่ 4.2% หลังหักภาษีอยู่ที่ 3.58% (  ศึกษาเรื่องการคิด IRR เพื่อหาผลตอบแทนของตราสารหนี้ที่จ่ายคูปองแต่ละปีไม่เท่ากันได้ใน http://fundmanagertalk.com/category/investment/bond/ )

หากเทียบผลตอบแทนกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 4 ปี และ 7 ปี ที่มีขายอยู่ในตลาดรองอยู่ที่ 2.90% และ 3.49% ตามลำดับ (ข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยวันที่ 1 ก.ย. 52 เท่ากับว่าพันธบัตรออมทรัพย์ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล (premium) อยู่ที่ประมาณ 0.60% และ 0.70% ตามลำดับ ซึ่งถือว่าดีกว่าไปซื้อพันธบัตรเองโดยตรงผ่านธนาคารพาณิชย์ (ถ้าเราดูเทียบกับพันธบัตรไทยเข็มแข็งครั้งที่ผ่านมาค่า premium จะอยู่ที่ 1.09% ดีกว่าพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นนี้ที่ออกมาพอสมควร)

หากดูจากประมาณการเศรษฐกิจของแบงค์ชาติ มองว่าเศรษฐกิจไทยจะโตเฉลี่ยประมาณ 4% และเงินเฟ้ออยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 4.5% ขณะที่วันนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% ผมมองว่าถ้าตัวเลขเศรษฐกิจเป็นไปตามที่แบงค์ชาติประมาณการ มีโอกาสสูงที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นในปีหน้าหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว และเมื่อดูจากโครงการไทยเข็มแข็ง 2555 ของรัฐบาลนี้แล้ว เชื่อว่าจะมีพันธบัตรออกมาอีกมากใน 1 – 2 ปีข้างหน้า ดังนั้นคำแนะนำคือการ ทยอยลงทุน โดยแบ่งเงินออมบางส่วนมาซื้อพันธบัตรออมทรัพย์รุ่นนี้ครับ เก็บสภาพคล่องไว้ด้วยอีกส่วนหนึ่ง เพราะของดียังมีอีกเยอะ

พันธบัตรไทยออมทรัพย์เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย และรู้สึกว่าดอกเบี้ยเงินฝากยังไม่จูงใจ อย่างไรก็ตาม ผมแนะนำให้ศึกษา และกระจายการลงทุนไปยังผลิตภัณฑ์อื่นที่จัดว่าเสี่ยงต่ำเช่นกัน เช่น กองทุนพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้อายุ 6 เดือน – 2ปี ผลตอบแทน 2.0 – 3.50% หรือกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศตะวันออกกลางเช่น กาตาร์ ทีอายุประมาณ 4 – 5 ปี และให้ผลตอบแทนประมาณ 3.5 – 4.0%

Facebook Comments

แชร์บทความนี้
เจษฎา สุขทิศ, CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร FINNOMENA & นายกสมาคมฟินเทคประเทศไทย คุณเจษฎา เคยปฏิบัติงานในตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล และเคยร่วมงานเป็นผู้จัดการกองทุนกับกลุ่ม เจพี มอร์แกน, ไทยพาณิชย์ และยูโอบี นอกจากนี้ ในปัจจุบัน คุณเจษฎา รับหน้าที่เป็นวิทยากรด้านการเงิน และฟินเทค ให้กับภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ คุณเจษฎา เคยได้รับรางวัลนักเศรษฐศาสตร์ดาวรุ่งจากสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์, รางวัล Most Astute Investor จากนิตยสาร The Asset และรางวัล Morningstar Fund Award
Posts created 106

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top