ว่าด้วยความน่าสนใจของเวียดนาม
รูปที่ 1 โรงงานซัมซุงในประเทศเวียดนาม
ขณะที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศแห้งเหือดจากบ้านเราไปนานแล้ว เพราะค่าแรงที่แพงขึ้น
เงินลงทุนจากต่างประเทศกลับไหลบ่าเข้าลงทุนในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง หลัก ๆ เพราะค่าแรงที่ถูกกว่า และโครงสร้างพื้นฐานที่มีพร้อมมากขึ้นในปัจจุบัน
ค่าแรงของประเทศเวียดนามวันนี้ตก 165 บาทต่อวัน ขณะที่ไทยคือ 300 จัดว่าถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่ง ส่วนจีนที่เคยว่าถูก ทุกวันนี้ 350 บาทขึ้นแรงแซงแม้แต่ประเทศไทยไปแล้ว
ที่มาแรงมาก ๆ คือเม็ดเงินลงทุนจากญี่ปุ่น และเกาหลี ที่เข้าลงทุนแล้วนับแสน ๆ ล้านบาทในเวียดนาม และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปีในระยะหลัง
รูปที่ 2 GDP ต่อหัวของเวียดนามเปรียบเทียบกับไทย
หากนำเอารายได้ต่อหัวของประเทศเวียดนามมาเปรียบเทียบกับไทย รายได้ชาวเวียดนามวันนี้เทียบได้กับรายได้บ้านเราเมื่อ 14 ปีที่แล้ว
ตรงนี้ล่ะครับที่เค้าเรียกว่า “Room to Grow” หมายความว่ายังมีโอกาสเติบโตอีกมากสำหรับเศรษฐกิจเวียดนาม
และการที่ค่าแรงถูก ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานพร้อมนี่เองที่ทำให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่จากต่างประเทศ เช่น Samsung, LG, Nike ต่างแห่ไปลงทุนในเวียดนามช่วงเวลาที่ผ่านมา
รูปที่ 3 อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนาม | ที่มา: Bloomberg
อีกประเด็นที่สำคัญคือเรื่องโครงสร้างประชากร….
คนเวียดนามทั้งประเทศตอนนี้อายุเฉลี่ยประมาณ 30 ปี ขณะที่บ้านเราเกือบ 40 ปีแล้ว
นั่นหมายความว่าจะมีคนเวียดนามเข้าสู่วัยทำงานอีกมาก อันนี้เป็น story เดียวกับอินเดีย การมีคนเข้าสู่วัยทำงานเยอะ แน่นอนจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต
ข้อมูลจาก Bloomberg รายงานว่า เศรษฐกิจเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 6.5 – 6.7% สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน และสูงกว่าการเติบโตของประเทศจีนไปแล้ว
เนื่องจากหุ้นตลาดเวียดนามจัดว่าเป็น “ตลาดชายขอบ” หรือ “Frontier Market” นั่นคือเศรษฐกิจจะมีความผันผวนสูง
ในอดีตค่าเงินของเวียดนามจัดว่ามีความผันผวนสูง เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อที่มีระดับสูง
แต่ในหลายปีให้หลังค่าเงินด่องของเวียดนามแม้จะยังมีทิศทางอ่อนค่า (ซึ่งดีกับการส่งออก) แต่ก็มีเสถียรภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เช่นเดียวกับอัตราเงินเฟ้อที่ปรับลดลงมากในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงการมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ผู้เขียนมองว่าในอนาคต 5 – 10 น่าจะมีโอกาสที่ดีที่เวียดนามจะได้รับการยกระดับจาก ตลาดชายขอบ (Frontier Market) ไปเป็น ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)
กองทุนเปิด ซีไอเอ็มบี–พรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (CIMB-Principal VNEQ)
ไปดูที่กองทุนที่นำมาแนะนำในวันนี้กันบ้าง
กองทุนนี้เป็นของค่าย ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล จุดที่ผมชอบที่สุดของกองทุนนี้คือ มีผู้จัดการกองทุน On-the-ground คือจ้างนักวิเคราะห์ชาวเวียดนามมาร่วมด้วยช่วยกันบริหารกองทุนโดยตรง
เอกสารประกอบการตัดสินใจลงทุนจำนวนมากของตลาดหุ้นเวียดนามยังคงใช้ภาษาเวียดนามเป็นหลัก การมีคนท้องถิ่นมาร่วมบริหารน่าจะมีประโยชน์มาก ๆ
ไหนจะเป็นการพบปะเยี่ยมชมกิจการ เวลาคนบ้านเดียวกันคุยกันยังไงก็ได้ข้อมูลลึกซึ้งกว่าจริงมั้ยล่ะครับ
นอกจากนี้กองทุนของค่ายนี้ยังทำงานกันในระดับภูมิภาค โดยมีผู้จัดการกองทุนกระจายในทุกประเทศ และร่วมกันลงงาน Company Visit กันอย่างจริงจัง
กองทุนนี้จึงเป็นกองทุนหุ้นเวียดนามที่ลงทุนโดยตรงในหุ้นเวียดนาม เนื้อ ๆ เน้น ๆ แห่งแรกและแห่งเดียวของเมืองไทย
รูปที่ 4 Vietjet Air
แล้วที่ว่าลงทุนเองโดยตรง แห่งแรก และแห่งเดียวนั้นลงทุนในหุ้นอะไร ?
ผมได้ไปดูหนังสือชี้ชวนฉบับล่าสุดมา หนึ่งในหุ้นที่กองทุนนี้เลือกลงทุนคือ Vietjet Air
Vietjet Air เป็นสายการบินต้นทุนต่ำของเวียดนาม เพิ่งตั้งมาได้เกือบ 10 ปี แต่โตเร็วมาก หลาย ๆ ปีย้อนหลังมีจำนวนผู้โดยสารเติบโตมากกว่า 50% ต่อปี
จนส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นมาเทียบเท่ากับสายการบินแห่งชาติคือ Vietnam Airline
ดูแล้วเรื่องราวคล้าย ๆ กับแอร์เอเชียและการบินไทยบ้านเราเหมือนกัน
ถ้าคนเวียดนามเริ่มมีรายได้กันมากขึ้น อีกหน่อยคงบินกันกระฉุดแน่นอน คล้าย ๆ กับที่เกิดขึ้นกับบ้านเราในไม่กี่ปีมานี้
รูปที่ 5 ตัวอย่างโครงการของ Ho Chi Minh City Infrastructure Investment
อีกหนึ่งตัวอย่างบริษัทที่กองทุนนี้ลงทุน คือ Ho Chi Minh City Infrastructure Investment ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาโครงการลงทุนภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
แน่นอนว่าเศรษฐกิจที่กำลังเฟื่องฟู การลงทุนจากต่างชาติที่กำลังบูม ย่อมมาพร้อมกับโครงการลงทุนภาคเอกชนจำนวนมาก
โดยการลงทุนในบริษัทนี้น่าจะเป็นตัวแทนของการเติบโตการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเวียดนามได้เป็นอย่างดี
กองทุน CIMB-Principal VNEQ นี้ผมแนะนำให้จัดไว้ในส่วนลงทุนระยะยาว ถือลืมไปได้เลย บนเป้าหมายง่าย ๆ คือ 10 ปี 4 เด้ง หรือผลตอบแทน 15% ต่อปี ซึ่งหาได้ยากมากในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน
แนะนำแบ่งเงินลงทุน 10 – 20% ของพอร์ตมาลงได้ สำคัญคือต้องถือยาว กองทุนนี้ขั้นต่ำของการลงทุนจะสูงหน่อย คือ 5 แสนบาท
กองทุนนี้ถ้าจะซื้อทำได้เพียงปีละ 4 ครั้งคือทุกวันทำการสุดท้ายของแต่ละไตรมาส ขณะที่ขายคืนได้ปีละ 2 ครั้ง คือทุกวันทำการสุดท้ายของเดือน มีนาคม และกันยายน
ที่ซื้อขายได้ไม่บ่อย เพราะกองทุนนี้เหมาะจะถือยาว และตลาดหุ้นเวียดนามเองสภาพคล่องไม่ได้สูงมาก
สิ่งที่ต้องทนให้ได้คือความผันผวนของราคากองทุนนี้ที่แน่นอนเมื่อเป็นตลาดชายขอบ ย่อมจะมีความผันผวนสูงกว่าปกติ
ผู้ที่ทนรับความผันผวนระยะสั้นแต่ละปีได้น่าจะได้รับรางวัลคือผลตอบแทนระยะยาวที่ยอดเยี่ยมเป็นการตอบแทน
รูปที่ 6 บรรยากาศการ Company Visit ของทีมงาน ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล
แถมท้ายด้วยรูปที่ทาง CIMB-Principal ส่งมาให้ดู คือบรรยากาศการทำ Company Visit ของผู้จัดการกองทุน ที่ถกแขนเสื้อ ออกเหงื่อ มือเปื้อนดิน ลงดูตลาดจริงในประเทศเวียดนามอย่างต่อเนื่อง เห็นแล้วอยากไปด้วยจัง
สนใจลงทุนในกองทุนนี้ติดต่อได้เลยครับ ที่ โทร 02-686-9595
หรือศึกษาเพิ่มเติมที่ www.cimb-principal.co.th (บ้านเก่าผมเอง)
FundTalk รายงาน