กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) น่าสนใจหรือไม่?
ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีและไม่ผันผวนเป็นเรื่องยาก สิ่งที่ผมทำในสถานการณ์เช่นนี้คือ บริหารและแบ่งสัดส่วนการลงทุนในพอร์ตเพื่อลดความเสี่ยง ซึ่งการลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นอีกทางเลือกที่ผมมักจะลงทุนในภาวะผันผวนเช่นนี้ ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานคือ ได้ลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สาธารณะในวงกว้างของประเทศไทย โดยกิจการโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้เป็นกิจการที่มีความจำเป็นต่อการใช้ชีวิตของประชาชน และเป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ อาทิเช่น ระบบโทรคมนาคม ระบบขนส่ง ถนน ทางพิเศษ หรือทางสัมปทาน เป็นต้น อีกทั้งกิจการเหล่านี้ยังจะสามารถสร้างรายได้ให้กับนักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมออีกด้วย
ยิ่งในระยะหลัง เขตเมืองขยายตัวต่อเนื่อง เม็ดเงินลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนขยายตัว จำนวนคนและการเดินทางต้องสูงขึ้นเป็นธรรมดา แต่ปัญหาที่จะตามมาคือ ปัญหารถติด ต้องเสียเวลาในการเดินทางมากขึ้น หลายคนรวมถึงผมจึงหันมาเลือกใช้ทางด่วนหรือทางพิเศษในการเดินทางในแต่ละวัน
วันนี้ ผมขอพามารู้จักกับกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย หรือ Thailand Future Fund (TFFIF) ภายใต้การจัดการของ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายหน่วยลงทุนประกอบไปด้วย ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน)
โดยกองทุน TFFIF จะเข้าลงทุนครั้งแรกในสิทธิในการรับร้อยละ 45 ของรายได้ค่าผ่านทางรวมสุทธิที่จัดเก็บได้จากทางพิเศษ 2 สายทางของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ระยะทางรวม 83.2 กิโลเมตร เป็นเวลา 30 ปีนับจากวันแรกที่กองทุนมีสิทธิในรายได้ที่โอนตามสัญญาโอนและรับโอนสิทธิในรายได้ซึ่ง กทพ. จะยังเป็นเจ้าของทรัพย์สิน และทำหน้าที่ในการบริหารจัดการตามปกติเช่นเดิม โดยทางพิเศษที่กองทุนเข้าลงทุนในสิทธิในการรับรายได้ ประกอบด้วย
- ทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์ และรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก) ระยะทาง 28.2 กิโลเมตร เชื่อมต่อพื้นที่ตอนเหนือกับพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ตัดผ่านย่านสำคัญในกรุงเทพฯ เช่น ลาดพร้าว พระราม 9
- ทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา-ชลบุรี) ระยะทาง 55.0 กิโลเมตร เส้นทางเชื่อมต่อพื้นที่ชานเมืองด้านตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพฯ กับจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และมีเส้นทางเชื่อมเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิโดยตรง
นอกจากเรื่องของรายได้ที่สม่ำเสมออันเป็นจุดเด่นของกิจการโครงสร้างพื้นฐานแล้ว ทางพิเศษทั้งสองสายนี้ยังทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ภายในกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคตะวันออก ซึ่งหากมองภาพรวมทั้งด้านการอยู่อาศัย การท่องเที่ยว คมนาคม รวมถึงอุตสาหกรรมแล้ว พื้นที่เหล่านี้ยังมีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งดูน่าสนใจใช่ไหมครับ
แล้วแนวโน้มการเติบโตเป็นอย่างไร?
ปัจจัยที่จะทำให้รายได้ค่าผ่านทางขยายตัวหลักๆ แล้ว คือปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
ปัจจัยแรกก็เริ่มตั้งแต่ราคาที่ดินและที่พักอาศัยในเขตพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ที่เราๆ ท่านๆ ต่างทราบกันดีว่าราคาสูงลิบลิ่ว จนคนจำนวนมากเลือกย้ายออกไปพักอาศัยย่านชานเมือง โดยเฉพาะพื้นที่ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ ซึ่งราคาที่พักอาศัยยังไม่แพงจนเกินไป ทำให้ต้องเดินทางไปกลับระหว่างที่พักกับที่ทำงาน
รวมถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนยานพาหนะก็น่าสนใจครับ ตั้งแต่ปี 2554-2560 การครอบครองยานพาหนะในกรุงเทพฯ ขยายตัวเฉลี่ย 6.1% ต่อปี (จากข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก) รวมไปถึงจำนวนประชากรในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ในเส้นทางของทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.7% ต่อปี (จากข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย)
มาดูปัจจัยด้านรายได้กันบ้างครับ พบว่าช่วงปี 2554-2560 ผู้มีงานทำในจังหวัดที่อยู่ในเส้นทางของทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีเติบโตเฉลี่ย 5.9% ต่อปี (จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม) และช่วงตั้งแต่ปี 2554-2559 ตัวเลข GPP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมรายจังหวัดในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่นๆ ที่อยู่ในเส้นทางของทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีเติบโตเฉลี่ยประมาณ 4.4% ต่อปี มากกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของ GDP ของประเทศไทยซึ่งอยู่ที่ระดับ 3.5% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน (จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) เรื่องความมั่งคั่งในพื้นที่เหล่านี้จึงเรียกได้ว่าหายห่วงครับ
มากไปกว่านั้น โครงการพัฒนาระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ต่อยอดความสำเร็จจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออกหรือ Eastern Seaboard ซึ่งจะดึงดูดนักลงทุนทั้งในและนอกประเทศเข้ามาลงทุน ทำให้เกิดโรงงานใหม่จำนวนมากในจังหวัดภาคตะวันออก โดยเฉพาะชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ทำให้มีคนทำงานเดินทางเข้าสู่พื้นที่มากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนส่วนต่อขยายสนามบินสุวรรณภูมิที่จะรองรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น และส่งผลให้ปริมาณการเดินทางในบริเวณรอบๆ เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
จากปัจจัยทั้งหมดที่ได้กล่าวมา ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคตะวันออก ทั้งด้านจำนวนประชากร ความมั่งคั่ง และกิจกรรมด้านอุตสาหกรรม ทำให้ผู้ที่เดินทางส่วนใหญ่มีโอกาสเลือกใช้ทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีมากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรที่ติดขัดบนท้องถนนและลดเวลาเดินทาง แม้จะต้องเสียค่าผ่านทางก็ตาม
โครงการขยายเส้นทางในอนาคตยังมีอย่างต่อเนื่อง
เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและสังคม กทพ. จึงมีโครงการขยายทางพิเศษ โดยจะใช้เงินทุนที่ได้จากการโอนสิทธิในรายได้ดังที่กล่าวไปข้างต้นไปพัฒนาทางพิเศษ 2 สายทาง ได้แก่ โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก และโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอน N2 เชื่อมต่อไปยังถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออกและส่วนต่อขยายทดแทน ตอน N1 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ โดยหากแล้วเสร็จคาดว่าจะเป็นผลดีต่อปริมาณการจราจรบนทางพิเศษบูรพาวิถีและทางพิเศษฉลองรัช นอกจากนั้น ยังมีอีก 2 โครงการที่อยู่ในขั้นตอนรอการอนุมัติซึ่งคาดว่าจะส่งผลดีต่อปริมาณการจราจรของทางพิเศษฉลองรัชและทางพิเศษบูรพาวิถีโดยตรง นั่นคือ โครงการทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางนา – อาจณรงค์ (S1) – ท่าเรือกรุงเทพ และโครงการทางเชื่อมต่อทางพิเศษบูรพาวิถี-ถนนเลี่ยงเมืองชลบุรี
การเสนอขายครั้งแรกใกล้เข้ามาแล้ว รายละเอียดเป็นอย่างไร
สำหรับนักลงทุนทั่วไป TFFIF ใช้วิธีการจองซื้อแบบ Small Lot First โดยจะมีกระทรวงการคลังถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 10% ของจำนวนหน่วยลงทุนหลังการเพิ่มทุนทั้งหมด เป็นระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่เริ่มซื้อขายครั้งแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ส่วนเรื่องการบริหารจัดการผลประโยชน์ก็มีการควบคุมเป็นอย่างดี โดยหากกองทุนมีการลงทุนหรือการได้มาซึ่งทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานใดๆ ด้วยมูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท หรือตั้งแต่ 30% ขึ้นไปของมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทุน ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนด เช่น ข้อกำหนดการสอบทานธุรกิจ (Due Diligence) และต้องได้รับมติอนุมัติของผู้ถือหน่วยลงทุนอีกด้วย
สำหรับผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนใน TFFIF หลักๆ คือเงินปันผล โดยกองทุนมีนโยบายจะจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว ซึ่งมาจากส่วนแบ่งรายได้จากทางพิเศษทั้ง 2 สายทางนั่นเอง ส่วนในระยะยาว นักลงทุนยังมีโอกาสได้รับกำไร (Capital Gain) คล้ายกับการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ
หากท่านเป็นนักลงทุนที่ชอบการลงทุนที่มั่นคง เน้นกระจายความเสี่ยง และลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน มีโอกาสได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ และยังได้ประโยชน์จากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ต้องไม่พลาดการลงทุนใน Thailand Future Fund (TFFIF) ด้วยประการทั้งปวงครับ