ผ่านมานานเกือบ 2 ปีนับตั้งแต่โลกของเราได้รู้จักกับ COVID-19 ที่แพร่ระบาดครั้งแรกในช่วงปลายปี 2019 ก่อนที่จะแพร่ระบาดสู่ทั่วโลกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 ที่ผ่านมากลายเป็นการแพร่ระบาดครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อระบบเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างมาก ส่งผลให้รัฐบาลทั่วโลกต่างพร้อมใจผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ครั้งที่สุดในประวัติศาสตร์
รูปที่ 1 เปรียบเทียบขนาดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (หน่วย: % ต่อ GDP) ในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ของรัฐบาลประเทศต่างๆ กับช่วงวิกฤติปี 2008 | Source : Mckinsey
ทั้งนโยบายการคลังที่คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 14-28% ของ GDP ขณะที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 9-10% ของ GDP ซึ่งมากกว่าการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ถึง 3 เท่า และมาตรการการเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเสริมสภาพคล่องในตลาดการเงินไม่ให้ตึงตัวมากเกินไปในยามที่ตลาดมีความกังวลและต้องการเงินทุน หรือสภาพคล่องในระดับที่สูง
ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกที่ดูซบเซาในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วในลักษณะ V-Shape โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอาทิ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ที่สามารถเข้าถึงวัคซีนต้าน COVID-19 และมีศักยภาพในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มากกว่า พร้อมกันนั้นก็ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วสูงสุดกว่า 100% ในส่วนของ MSCI World และ 91% สำหรับ MSCI Emerging Markets นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2020 ที่ผ่านมา
รูปที่ 2 อัตราเงินเฟ้อ สหรัฐฯ และ สหภาพยุโรป | Source : FINNOMENA, Bloomberg as of 31/10/2021
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ย่อมมาพร้อมอัตราเงินเฟ้อในระดับที่สูงขึ้น เราจึงเริ่มเห็นเหล่าธนาคารกลางสำคัญประกาศจะเริ่มทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องลงเพื่อควบคุมให้เศรษฐกิจขยายตัวในระดับที่เหมาะสม ไม่ร้อนแรงจนเกินไป การประชุมล่าสุดของ 2 ธนาคารกลางสำคัญ อันประกอบไปด้วย ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และยุโรป (ECB) ประกาศว่าจะเริ่มทยอยลดการเสริมสภาพคล่อง (QE Tapering) ในช่วงสิ้นปี 2021 และต้นปี 2022 นี้ ตามลำดับ พร้อมทั้งระบุว่าจะไม่รีบร้อนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
รูปที่ 3 อัตราดอกเบี้ยทั่วโลก และ แนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ถึงมีนาคม 2021 | Source : Visual Capitalist, New York Life Investment As of 13/05/2021
ในภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวควบคู่กับมาตรการลดการอัดฉีดสภาพคล่องหรืออาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต มีโอกาสที่ภาพตลาดหุ้นโลกในระยะข้างหน้า จะเป็นในลักษณะของการขยายตัวควบคู่กับความผันผวนที่สูงขึ้น ประกอบกับแนวโน้มภาวะอัตราดอกเบี้ยจะยังคงอยู่ที่ระดับต่ำและมีโอกาสกลับไปสูงมากได้ยาก แม้ธนาคารกลางจะใช้นโยบายลดสภาพคล่อง ซึ่งก่อให้เกิดเป็น TINA Effect (There is no alternative) หรือ การที่นักลงทุนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหุ้น ที่จะให้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้การลงทุนในหุ้นยังคงเป็นสิ่งที่น่าสนใจและจำเป็น เพื่อให้ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน นั้นสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย หรืออย่างน้อยที่สุดก็เอาชนะอัตราเงินเฟ้อซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการลดทอนมูลค่าเงินในกระเป๋า หรือ พอร์ตการลงทุนของทุกๆ ท่าน
อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนทิศของนโยบายการเงินอาจนำไปสู่ แนวโน้มการเติบโตของตลาดหุ้นที่มาพร้อมความผันผวนที่สูงขึ้น ดังนั้น การคัดเลือกหุ้น (Stock Selection) และการควบคุมความเสี่ยง (Risk Management) จึงมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
M-EDGE เลือกหุ้นผู้ชนะ สร้างผลตอบแทนแม้นโยบายการเงินเปลี่ยนด้าน
M-EDGE กองทุนใหม่จาก บลจ. MFC ซึ่งลงทุนในกองทุนหลัก BGF Global Long-Horizon Equity Fund คือกองทุนที่จะตอบโจทย์การลงทุนดังกล่าว ด้วยปรัชญาการลงทุนที่สำคัญ 4 ข้อด้วยกันคือ
- Long term focus
โฟกัสที่การลงทุนระยะยาว ซึ่งหมายถึงการผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจทั้งช่วงขยายตัว ชะลอตัว และหดตัวอันนำไปสู่นโยบายการเงินที่เปลี่ยนแปลงล้อไปกับทิศทางเศรษฐกิจ ทั้งการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อชะลอความร้อนแรง ทำให้การเลือกหุ้นที่จะลงทุนนั้น ต้องทนทานต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ ภาวะอัตราเงินเฟ้อ และการปรับทิศทางนโยบายการเงินเป็นดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าพอร์ตการลงทุนก็มีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนดีกว่าภาพรวมของดัชนีเปรียบเทียบอย่าง MSCI ACWI ได้ ไม่ว่าจะในวัฏจักรเศรษฐกิจแบบใดก็ตาม
- Fundamental Focus
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเชิงลึกเพื่อให้ได้หุ้นคุณภาพดี มีความได้เปรียบด้านการแข่งขัน (Competitive Advantage) เหนือกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน ซึ่งหมายถึงการเป็นหุ้นผู้ชนะในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ และการเน้นลงทุนในหุ้นที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนำไปสู่กระแสเงินสดของกิจการที่ดี เติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมด้วยการนำกระแสเงินสดเหล่านั้นไปลงทุนเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มมูลค่าของกิจการอยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทดังกล่าวจะสามารถสร้างมูลค่าและผลตอบแทนที่ดีได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว (Ensure Sustainable Value Creation) แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีระดับมูลค่า (Valuation) ที่น่าสนใจและเหมาะสม พร้อมด้วยการวิเคราะห์ผลตอบแทนย้อนหลังว่ามีความโดดเด่น และสามารถเอาชนะดัชนีเปรียบเทียบอย่าง MSCI ACWI ได้หรือไม่เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหุ้นของบริษัทเหล่านั้นมีศักยภาพเติบโต (Growth Potential) ที่ดีกว่าและผันผวนต่ำกว่าในระยะยาว
- High Conviction, Concentrate
รูปที่ 4 BGF Global Long-Horizon Equity Portfolio | Source : Blackrock as of 30/09/2021
เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ดีกว่าดัชนีเปรียบเทียบอย่าง MSCI ACWI ทั้งในยามที่ตลาดเป็นขาขึ้นและขาลง (Deliver Alpha) กองทุนมีปรัชญาในการลงทุนแบบ High Conviction หรือการลงทุนแบบโฟกัสที่เน้นไปยังหุ้นที่ทีมผู้จัดการกองทุนมองว่าดีที่สุดเพียง 20-30 ตัวเท่านั้นจากหุ้นจำนวนมากทั่วโลก พร้อมด้วยมาตรการจัดการ และกระจายความเสี่ยงแบบเข้มข้นอันประกอบไปด้วย
การมี Sell Discipline หรือเกณฑ์ในการเลิกลงทุน หรือขายหุ้นนั้นๆ ที่ชัดเจน อาทิ
- เมื่อหุ้นเหล่านั้นมีระดับ Valuation ที่แพงมากเกินไป หรือ มีการเปลี่ยนรูปแบบกิจการอันทำให้ Upside หรือโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เหลืออีกต่อไป
- เมื่อสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์เกินเกณฑ์ที่กำหนด อันประกอบไปด้วย การถือครองหุ้น 1 ตัวได้ไม่เกิน 10% ของพอร์ตการลงทุน และการถือครองหุ้นใน 1 อุตสาหกรรมได้ไม่เกิน 30% ของพอร์ตการลงทุน เพื่อป้องกันความเสี่ยงทั้งในแง่ของสภาพคล่อง และ ความกระจุกตัวที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายการลงทุนแบบ High Conviction ได้อยู่แล้ว
- เมื่อมีโอกาสการลงทุนที่ดีกว่า หากมีหุ้นของบริษัทใดๆ ที่น่าสนใจมากกว่าทั้งในแง่ของ Upside ที่มากกว่า และ การกระจายการลงทุนที่ดีกว่า
มีการวิเคราะห์ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพเพื่อบริหารความเสี่ยงทุกการลงทุน อาทิ
- ประเมินสมมติฐานและแนวคิดก่อนการเข้าลงทุนในหุ้นตัวใดก็ตาม ทั้งในแง่ของกรณีที่ดีที่สุดและกรณีแย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ เพื่อนำไปสู่น้ำหนักการลงทุน และการกระจายการลงทุนที่เหมาะสม
- ประเมินความเสี่ยง และ Portfolio Characteristics ของกองทุนรายวัน เพื่อนำไปสู่การปรับน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสม
- กระจายพอร์ตการลงทุนในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม และภูมิภาค เพื่อรับโอกาส และกระจายความเสี่ยงในหลายมิติ อาทิ ความเสี่ยงเรื่องวัฏจักรเศรษฐกิจที่จะส่งผลดีและเสียต่อหุ้นในแต่ละอุตสาหกรรมและภูมิภาคที่แตกต่างกัน
ด้วยปรัชญาแบบ High Conviction ประกอบกับการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มข้น นักลงทุนจะมั่นใจได้ว่าพอร์ตการลงทุน จะสามารถสร้าง Alpha หรือผลการดำเนินงานที่ดีกว่าดัชนีเปรียบเทียบได้ทั้งในยามที่ตลาดเป็นขาขึ้นและลง
- High Alpha
รูปที่ 5 BGF Global Long-Horizon Equity Performance to Benchmark (MSCI ACWI) | Source : Blackrock As of 30/09/2021
ส่งผลให้พอร์ตการลงทุนมีการปรับน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะกับโอกาสและความเสี่ยงอยู่เสมอ ทำให้กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ได้ถึง 12.9% ต่อปี มากกว่าดัชนีเปรียบเทียบอย่าง MSCI ACWI 1% ต่อปี สร้างผลตอบแทนได้มากว่า 3 เท่าภายในระยะเวลา 10 ปีดังกล่าว
รูปที่ 6 BGF Global Long-Horizon Equity Performance & Capture Ratio | Source : Blackrock As of 30/09/2021
พร้อมด้วย Upside Capture และ Downside Capture หรือการปรับตัวขึ้นและลงเทียบกับดัชนีเปรียบเทียบอย่าง MSCI ACWI ที่ดีอยู่เสมอ โดยในยามที่ตลาดปรับตัวขึ้นกองทุนสามารถปรับขึ้นได้ 110.81% ขณะที่ในยามที่ตลาดปรับตัวลงกองทุนก็สามารถที่จะปรับตัวลงคิดเป็น 92.32% ของ MSCI ACWI นับตั้งแต่ในปี 2017 ทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าแม้ในยามที่ตลาดเป็นขาลง กองทุนก็มีโอกาสที่จะปรับตัวลงน้อยกว่า เพื่อในยามที่ตลาดเป็นใจกองทุนจะสามารถฟื้นคืนกลับมาเท่าทุน และสร้างกำไรได้ดีกว่าในระยะยาว
M-EDGE ลงทุนในบริษัทไหนบ้าง?
ส่วนสำคัญที่สุดที่สร้างผลการดำเนินงาน และสะท้อนกระบวนการลงทุนที่กล่าวมาถึงทั้งหมดก็คือการเลือกและถือครองหลักทรัพย์ที่ดีของกองทุน โดยในปัจจุบันนั้น BGF Global Long-Horizon Equity Fund กองทุนหลักของ M-EDGE ถือครองหุ้นที่เป็นที่รูุ้จักกันดีและเข้าเกณฑ์ ปรัชญาการลงทุนข้างต้น อาทิ
รูปที่ 7 BGF Global Long-Horizon Equity top 10 holding | Source : Blackrock As of 30/09/2021
- Amazon และ Microsoft 2 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ชื่อดังระดับโลกที่ทำธุรกิจสอดคล้องกับเมกะเทรนด์ อาทิ การให้บริการ Cloud ของทั้ง 2 บริษัท, ธุรกิจ E-Commerce ของ Amazon ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และ การปรับธุรกิจเป็น Subscription Base ของ Microsoft ที่ช่วยให้กิจการสามารถเติบโตได้ดีมากขึ้น ช่วยให้ทั้ง 2 บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานรวมกันมากกว่า 142,786 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2020 ที่ผ่านมา
- Prudential บริษัทประกันชีวิตขนาดใหญ่ที่เดินหน้ารุกเข้ามาในเอเชียอย่างต่อเนื่อง จนสามารถครองตลาดในภูมิภาคเอเชียได้เป็นจำนวนมาก อาทิ อินโดนีเซียและ อินเดียซึ่งมีประชากรรวมกันกว่า 1,500 ล้านคน โดย Prudential สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากถึง 11% และ 18% ตามลำดับ เป็นอันดับ 1 ในอินโดนีเซีย และเป็นอันดับที่ 2 ในอินเดีย ขณะที่ในประเทศจีน ซึ่งมีประชากรมากกว่า 1,400 ล้านคนนั้น Prudential ก็เริ่มทำการตลาด และมีผู้เอาประกันแล้วมากกว่า 1.5 ล้านราย จากตัวแทนประกันชีวิตกว่า 35,000 ชีวิต ด้วยสำนักงานตัวแทนที่กระจายใน 21 แห่ง เข้าถึงประชากรใน 94 เมืองใหญ่ซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของ GDP จีนทั้งหมด ทำให้ Prudential ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก แม้จะเป็นบริษัทประกันชีวิตที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกก็ตาม
- Reckitt Benckiser Group 1 ในบริษัทที่ 20 มูลค่ากิจการมากที่สุดใน FTSE ตลาดหุ้นอังกฤษที่มีรายได้มากกว่า 12,800 ล้านปอนด์ต่อปี จากการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าสุขภาพ อนามัย และโภชนาการ มากกว่า 20 แบรนด์ อาทิ Dettol, Durex, Strepsils, Brasso, Scholl Vanish และ, Veet ซึ่งมีความผันผวนของรายได้อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับธุรกิจที่ผันแปรตามวัฏจักรเศรษฐกิจอื่นๆ ขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสเติบโตที่สูงจากแนวโน้มการดูแลสุขภาพอนามัยที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการแพร่ระบาดของ COVID-19 เป็นปัจจัยกระตุ้นอีกทาง ควบคู่กับแนวโน้มการดูแลตนเองตามปกติ
จะเห็นได้ว่าบริษัทที่ M-EDGE เข้าลงทุนนั้นจะมีลักษณะร่วมกันก็คือ มีขนาดใหญ่ มีกระแสเงินสดที่ดี และมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง ทำให้เป็นบริษัทที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในยามที่เศรษฐกิจขยายตัวจากศักยภาพในการเติบโต ควบคู่ไปกับการมีภูมิคุ้มกันในยามที่ตลาดปรับฐานจากความมั่นคงของบริษัทซึ่งสะท้อนผ่านทางมูลค่าบริษัทที่ใหญ่ และกระแสเงินสดที่ดี
ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว หากในอนาคตอันใกล้นี้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายการเงินจากผ่อนคลายเป็นตึงตัว ผู้ลงทุนก็จะมั่นใจได้ว่า หุ้นในพอร์ตการลงทุนของ M-EDGE ที่ทั้งกระจายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม เลือกหุ้นที่คุณภาพสูง พร้อมด้วยมาตรการคุมความเสี่ยงอย่างเข้มงวด ซึ่งทำให้ผลตอบแทนย้อนหลังในช่วงที่ผ่านมาที่สามารถจำกัดความเสียหายในยามที่ตลาดแย่ และ เร่งผลตอบแทนในยามที่ตลาดดี จะเหมาะสมกับการเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนได้ในระยะยาว
รายเอียดเพิ่มเติม :
สนใจซื้อกองทุน:
– ซื้อผ่าน App: MFC WEALTH
– ซื้อผ่านนักวางแผนการลงทุนส่วนบุคคลของ MFC
– ซื้อผ่านตัวแทนการขายกว่า 40 แห่ง ทั่วประเทศ
ติดตามข่าวสารของ MFC:
Website: https://www.mfcfund.com
Facebook: https://www.facebook.com/mfcfunds
Instagram: https://www.instagram.com/mfcfunds
Twitter: https://twitter.com/mfcfunds
Youtube: https://www.youtube.com/c/MFCAssetManagementPLC
LinkedIn: https://www.linkedin.com/company/mfcfunds
Line: https://line.me/ti/p/~@mfcfunds