ลงทุนสไตล์ ESG สร้างผลตอบแทนการลงทุนแบบยั่งยืน
ใคร ๆ ก็อยากรวย แต่ก็คงไม่มีใครอยากรวยเร็วอย่างฉาบฉวย หากให้เลือกได้ก็อยากรวยอย่างยั่งยืนใช่ไหมครับ วันนี้เราจะมาคุยถึงกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นที่กำลังเป็นเทรนด์ใหม่ในแถบเอเชียและประเทศไทย ซึ่งกลยุทธ์นี้ไม่เพียงแต่เลือกลงทุนในบริษัทพื้นฐานดีและมีแนวโน้มที่เติบโตเท่านั้น แต่บริษัทนั้นยังต้องดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล หรือ ESG เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าเงินลงทุนของคุณจะสามารถเติบโตอย่างยั่งยืนได้ในระยะยาวนั่นเอง
ESG คือพื้นฐานของการทำธุรกิจ
แนวทางการคัดเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานการทำธุรกิจที่ยั่งยืน (ESG) สามารถใช้หลักง่ายๆ ที่เรียกว่า E + S + G ในการคัดเลือก ซึ่งทั้ง 3 แนวคิดนี้จะช่วยส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนมีความยั่งยืนของผลประกอบการและนำมาซึ่งกำไรที่ดีได้ในระยะยาว หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าไม่เห็นจะเกี่ยวกับการลงทุนเลย…
ลองคิดดูนะครับ ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่ทำเหมืองแร่ มีการเปิดหน้าดินเพื่อขุดเหมือง ต้องตัดต้นไม้ไปจำนวนมาก หลังจากทำเหมืองเสร็จไม่ยอมปลูกป่ากลับคืน สุดท้ายก็โดนประท้วงหรือฟ้องร้องทำให้บริษัทต้องตั้งสำรองสำหรับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นมา เสียทั้งเงินทั้งชื่อเสียง แน่นอนว่ากำไรลดลง นักลงทุนขาดความเชื่อมั่นในบริษัท หุ้นราคาตกลง! เริ่มเกี่ยวแล้วใช่มั้ยครับ – ตัวอย่างนี้บอกถึงการขาด E หรือ Environmental หมายถึงเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น จัดให้มีแนวทางในการรักษาสิ่งแวดล้อมก่อนและหลังการทำงานอย่างชัดเจน หรือการหาวิธีที่ใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
ความรับผิดชอบต่อสังคมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ หลายบริษัทมีการสนับสนุนให้ชาวบ้านที่อยู่รอบ ๆ โรงงานปลูกผลผลิตเพื่อเป็นวัตถุดิบป้อนให้กับโรงงาน หรือแม้แต่ให้ชาวบ้านเข้ามาทำงานที่โรงงาน นับเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก บริษัทเองก็ประหยัดต้นทุนการขนส่ง ไม่มีปัญหาเรื่องแรงงาน ชาวบ้านก็มีรายได้ สร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนรอบ ๆ โรงงาน – ตัวอย่างนี้คือการทำ S หรือ Social ซึ่งหมายถึงการคำนึงถึงสังคมไปพร้อม ๆ กับการทำธุรกิจนั่นเองครับ
การทุจริตส่วนมากเกิดจากคนในบริษัทเอง บริษัทที่ดีควรมีแนวทางการป้องกันการทุจริตของพนักงาน เช่น สถาบันการเงินมักมีกฎที่เรียกว่า Staff Dealing Rule ที่พนักงานจะต้องแจ้งกับฝ่ายกำกับก่อนทำการซื้อขายหุ้นทุกครั้ง เพื่อป้องกันการซื้อขายหุ้นดักหน้า (front run) ลูกค้าที่กำลังจะซื้อหรือขายหุ้น – กฎเรื่องนี้บอกถึงการทำ G หรือ Governance หมายถึงการสร้างกฎระเบียบทั้งทางตรงและทางอ้อมขึ้นมาเพื่อสนับสนุนให้พนักงานปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต การที่องค์กรมีหลักธรรมาภิบาลที่ชัดเจนในการต่อต้านคอรัปชั่นสุดท้ายแล้วก็ทำให้องค์กรไม่ต้องสูญเสียรายได้ ค่าปรับ หรือค่าใช้จ่ายคดีความต่าง ๆ ที่เป็นเงินไม่น้อย และสร้างประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในที่สุดนั่นเอง
นี่แหละครับคือที่มาของคำว่า “คุณธรรมชี้นำกำไร” หลักของ ESG เป็นแนวทางในการทำธุรกิจที่ยั่งยืนที่บริษัทต่าง ๆ ควรใช้ และนักลงทุนก็ควรใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนลงทุน เพราะบริษัทที่ทำธุรกิจอย่างมีคุณธรรมตามหลัก ESG ย่อมสามารถเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีสม่ำเสมอในระยะยาวได้
กลับมาเรื่องการลงทุนกันบ้าง จริง ๆ แล้วในเมืองไทยก็มีกองทุนที่ใช้หลัก ESG เหมือนกันนะครับ คือ กองทุนเปิด ทิสโก้ ESG เพื่อสังคม จากบลจ.ทิสโก้ ซึ่งเป็นกองทุนรวมกองแรก ๆ ที่ใช้หลัก ESG เป็นแนวคิดหลักในการคัดเลือกหุ้น จึงทำให้มีโอกาสน้อยที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันในเชิงปัญหาธรรมาภิบาล ปัญหาการไม่ดูแลสิ่งแวดล้อม หรือการไม่ใส่ใจสังคม ทำให้มั่นใจได้ว่าเงินลงทุนของเราน่าจะเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ดังนั้นด้วยแนวคิดที่เล่ามา จึงได้มีการเปิดเสนอขาย ‘TISESG – D’(จ่ายเงินปันผล) ซึ่งต้นกำเนิดของกองทุนนี้เกิดจากการรวมตัวกันของนักลงทุนรายใหญ่ 6 ราย ที่เห็นความสำคัญและโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนจากการใช้หลัก ESG ในการคัดเลือกบริษัทที่จะลงทุน อย่างไรก็ตามเพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าทั่วไปสามารถลงทุนในกองทุนที่ใช้หลัก ESG นี้ได้ ทาง บลจ.ทิสโก้ จึงได้จัดตั้งกองทุน TISESG-A (ไม่จ่ายปันผล) สำหรับบุคคลทั่วไปขึ้นมาด้วยครับ ซึ่งแนวทางการวิเคราะห์โดยใช้หลัก ESG เป็นดังนี้ครับ
แนวทางการวิเคราะห์โดยใช้หลัก ESG
การคัดเลือกหุ้นโดยใช้หลัก ESG แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน
- Initial Screening – เริ่มจากแนวทางของ กองทุนธรรมาภิบาลไทยโดยจะคัดเลือกหุ้นที่ได้รับการประเมิน 4 ดาว จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) ซึ่งมีประมาณ 275 บริษัท โดยทาง IOD จะตรวจสอบและปรับปรุงเป็นรายเดือน จากนั้นบริษัทที่จะลงทุนต้องได้การรับรองเป็นสมาชิกของแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) ซึ่งมีประมาณ 120 บริษัท นับว่าเป็นการคัดกรองแบบพื้นฐานโดยใช้ Governance (G) เป็นหลัก หลังจากนั้นอาจใช้ Environment (E) และ Social (S) ในการคัดกรองเพิ่มเติมอีกครั้ง
- Stock Analysis – หลังจากได้กลุ่มหุ้นที่มี ESG ดีแล้วจะทำการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น ปัจจัยพื้นฐาน ความสามารถในการสร้างกำไรในอนาคต สภาพคล่องของบริษัท และมักจะเข้าพบผู้บริหารเพื่อได้พูดคุยถึงมุมมองในอนาคตและกลยุทธ์ที่จะทำให้กิจการเจริญเติบโต
- Valuation – หุ้นบางตัวอาจมีครบทั้ง ESG แต่มีราคาสูงเกินมูลค่าที่แท้จริง อันนี้ต้องค่อย ๆ ตัดออกนะครับ
- Universe – มาถึงขั้นตอนสุดท้ายจะได้หุ้นที่อยู่ใน universe การลงทุนประมาณ 40-50 บริษัท ซึ่งการเลือกลงทุนจริงอาจเหลือเพียงประมาณ 25 บริษัท
นอกจากจะได้รายชื่อบริษัทที่ทำธุรกิจโดยคำนึงถึงความยั่งยืนแล้ว การยึดหลัก ESG ยังส่งผลดีอยู่หลายอย่างครับ เช่น ความผันผวนที่ลดลง ความเสี่ยงที่ต่ำลง และผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
หลัก ESG – ทำให้ความเสี่ยง และความผันผวนลดลงได้อย่างไร?
ตามที่เราได้ร่ำเรียนกันมา ถ้าต้องการให้ความผันผวนหรือ Volatility ของพอร์ตลงทุนลดลงจะต้องเลือกลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนของราคาในอดีตต่ำ ๆ ซึ่งก็จริงครับ แต่ที่เพิ่มมาคือหลักของ ESG จะทำให้บริษัทที่เราเลือกลงทุนมีโอกาส ‘เกิดข่าวในเชิงลบน้อยลง’
โดยความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นมีอยู่ 2 ชนิดคือ ความเสี่ยงที่เกิดจากตลาด (Systematic Risk) เอง ที่สามารถลดลงได้ด้วยการกระจายการลงทุนไปในหลาย ๆ หุ้น และความเสี่ยงอีกชนิดคือความเสี่ยงเฉพาะของหุ้น (non-systematic risk) ซึ่งความเสี่ยงเฉพาะตัวของหุ้นนี่แหละครับเป็นสิ่งที่ต้องวิเคราะห์ให้มาก ๆ และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่อง ESG นี่ล่ะครับ ถ้าบริษัทที่ใส่ใจเรื่อง ESG เป็นอย่างดีแล้ว โอกาสเจ็บตัวหนัก ๆ จะน้อยลงไปเยอะแน่นอน
หลัก ESG – ช่วยสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้อย่างไร?
การคัดเลือกหุ้นโดยใช้หลัก ESG สามารถช่วยให้ผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนมีความสม่ำเสมอมากขึ้น (ไม่ได้แปลว่าจะได้ผลตอบแทนมากขึ้นนะครับ) เนื่องจากโอกาสในการเกิดเหตุสุดวิสัยต่าง ๆ ลดลง ที่เราเรียกว่า “กำไรมีคุณภาพ”
ถ้าลองวิเคราะห์ผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน TISESG-D จากเว็บ บลจ. ทิสโก้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 14.80% ต่อปี จะพบว่ามากกว่าดัชนีชี้วัดของกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.47% ต่อปี และผลตอบแทนย้อนหลังระยะ 1 ปี 6 เดือน และ 3 เดือนอยู่ที่ 18.17% , 3.10% และ -1.98% เมื่อเทียบกับดัชนีชี้วัดของกองทุนซึ่งอยู่ที่ 17.10% , 5.04% และ -1.21% ตามลำดับ (ดัชนีชี้วัดของกองทุนใช้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) และมีการเปลี่ยนแปลงเป็นดัชนีผลตอบแทนรวมตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET TRI) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2560)
ที่มา: Bloomberg
ทีนี้ผมขออธิบายโดยยกตัวอย่างภาพจาก Bloomberg แบบนี้นะครับ จะเห็นได้ว่าเวลาหุ้นลง TISESG-D ก็ลงเช่นกัน และเวลาหุ้นขึ้น TISESG-D ก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน การลงทุนโดยใช้หลัก ESG ไม่ได้เป็นหลักที่เป็นการรับประกันว่าจะไม่ขาดทุน แต่หลัก ESG ช่วยให้พอร์ตลงทุนมีความผันผวนน้อยกว่าตลาดหุ้นครับ และที่สำคัญถ้าดูจากกราฟจะพบว่า TISESG-D ชนะ SET TRI อยู่ 5.51% โดยกองทุนมีผลตอบแทนนับแต่จัดตั้งกองทุน (21 ต.ค. 58) อยู่ที่ 41.78% สูงกว่า SET TRI (ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่รวมเงินปันผล) ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 36.27% ซึ่งผลตอบแทนที่ทำได้ยอดเยี่ยมที่ผ่านมานั้นเกิดจาก 2 ส่วนสำคัญคือการใช้หลัก ESG ในการลงทุน และทีมงานผู้จัดการกองทุนคุณภาพ จากบลจ.ทิสโก้นั่นเอง
แล้วการใช้หลัก ESG ในการวิเคราะห์มีความเสี่ยงหรือไม่?
การเพิ่มหลัก ESG มาเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตลงทุนลดลงได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีอยู่ประมาณ 600 ตัว (https://www.set.or.th/set/marketstatistics.do) การเพิ่มหลัก ESG ทำให้ universe ของหุ้นที่สามารถลงทุนได้ลดลงเหลือเพียงประมาณ 50 ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องแลกกับความเสี่ยงที่ลดลงของพอร์ตลงทุนครับ
ส่งท้าย…
นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับหลัก ESG ของบริษัทที่จะลงทุนด้วย ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงหุ้นปั่นต่าง ๆ และลดความเสี่ยงจากความผันผวนโดยรวมของพอร์ตลงทุน ผมเชื่อว่าทางเลือกนี้นับเป็นการลงทุนที่น่าสนใจและใช้เป็นแกนหลักสำหรับการจัดพอร์ตลงทุนในหุ้นไทย รวมไปถึงหุ้นต่างประเทศได้เช่นกันครับ สำหรับผู้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือสนใจลงทุนในกองทุน TISESG สามารถติดต่อได้โดยตรงที่บลจ.ทิสโก้ 02-633-6000 กด 4 http://tisesg.tisco.live ครับ
อย่าลืมนะครับว่าการลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ผมสนับสนุนให้ลงทุนในสิ่งที่เรารู้จริงอย่าใช้ “หู” ลงทุน นักลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะ ข้อจำกัดเงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และรายละเอียดอื่น ๆ ของกองทุนให้เข้าใจเป็นอย่างดีก่อนลงทุน อีกอย่างผลตอบแทนที่ผมยกขึ้นมาให้ดูเป็นผลตอบแทนในอดีต ซึ่งเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ไม่ได้เป็นการรับประกันใด ๆ ว่าผลตอบแทนในอนาคตจะเป็นเหมือนในอดีตนะครับ
โชคดีกับการลงทุนครับ
FundTalk รายงาน