โอกาสลงทุนรับกระแสเงินสดในยุคดิจิทัล
ในยุคที่การลงทุนหุ้นมีความผันผวน ลงทุนในตราสารหนี้ก็อาจมีผลตอบแทนไม่มาก ยังมีกองทุนอีกประเภทที่อยู่กึ่งกลางระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ เรียกได้ว่า ความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้น แต่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยมากกว่าตราสารหนี้ กองทุนที่มีลักษณะดังกล่าวได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งกองทุนที่จะมารีวิวในวันนี้อยู่ในหมวดกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานครับ
มารู้จักกองทุน DIF
กองทุน DIF ย่อมาจาก DIGITAL TELECOMMUNICATIONS INFRASTRUCTURE FUND หรือ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และเริ่มทำการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุน DIF ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 นับเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมกองแรกและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดภาระการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของภาครัฐและเอกชน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีมูลค่าค่อนข้างสูงและยังช่วยลดปัญหาการลงทุนซ้ำซ้อนของภาคเอกชน เนื่องจากสามารถนำทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของกองทุนให้ผู้ประกอบการรายต่าง ๆ เช่าได้ และยังเป็นช่องทางการลงทุนใหม่แก่นักลงทุนด้วย โดยกองทุน DIF มีทรัพย์สินหลักๆ คือ เสาโทรคมนาคม สายใยแก้วนำแสงและระบบบรอดแบนด์ในเขตพื้นที่ต่างจังหวัด ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้สามารถรองรับการใช้งานด้านโทรคมนาคม อาทิเช่น การติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารเพื่อรับและส่งสัญญาณ เป็นสื่อสัญญาณและทำการเชื่อมต่อการสื่อสารที่รองรับการรับส่งข้อมูล เป็นต้น
ทำไมลงทุนใน DIF จึงเสี่ยงน้อยกว่าลงทุนในหุ้น และมีโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอ
การวิเคราะห์ความเสี่ยงของทรัพย์สินที่ลงทุน ย่อมต้องวิเคราะห์โครงสร้างและที่มาของผลประกอบการเป็นหลัก กล่าวคือ ผลประกอบการของหุ้นโดยทั่วไปนั้น รายได้มักอิงกับปัจจัยภายนอก เช่น สภาพเศรษฐกิจ ค่าเงิน และการแข่งขันในอุตสาหกรรมค่อนข้างมาก
ในขณะที่โครงสร้างรายได้ของ DIF นั้น มาจากการ “ให้เช่า” ทรัพย์สินในกองทุน เช่น เสาโทรคมนาคม และสายใยแก้วนำแสง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการโทรคมนาคมในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต
ผู้เช่าหลักของกองทุน DIF ปัจจุบัน คือ กลุ่มทรู ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ของประเทศ
ในปัจจุบัน ผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้บริการประเภท Non-voice หรือการใช้งานดาต้า
และการสื่อสารออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทั้งการดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมออนไลน์และอื่น ๆ จนสามารถกล่าวได้ว่า สังคมไทยในปัจจุบันได้เข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง ดังนั้น ผู้บริโภคก็ย่อมพิจารณา “ความเร็ว” “ความเสถียร” และ “สัญญาณที่ครอบคลุมพื้นที่” ของผู้ให้บริการเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการโทรคมนาคมต้องลงทุนพัฒนาเครือข่าย ทั้งด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่และระบบบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคและชิงส่วนแบ่งตลาดมานั่นเอง ผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนนี้จึงมั่นใจได้ว่า ในอนาคตผู้เช่าเหล่านี้ก็จะยังคงต้องเช่าเสาโทรคมนาคมและใยแก้วนำแสงอยู่ ดังนั้น จึงมั่นใจได้พอสมควรว่า รายได้จากกองทุน DIF ส่วนใหญ่จะมีความสม่ำเสมอตามสัญญาการเช่าทรัพย์สินที่กล่าวมาข้างต้น และรองรับโอกาสการให้เช่าทรัพย์สินโทรคมนาคมแก่ผู้ประกอบการรายอื่นที่อาจจะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต
เงินปันผลในอดีตเป็นอย่างไร
เมื่อไปดูนโยบายการจ่ายปันผลของกองทุนพบว่า จะจ่ายปันผลอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี (หากมีกำไรเพียงพอ) โดยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว และการจ่ายเงินปันผลที่ผ่านมาเป็นไปตามรูป ดังนี้
(บาทต่อหน่วย)
เมื่อดูจากตารางจะเห็นว่า ที่ผ่านมามีการจ่ายปันผลทุกไตรมาสค่อนข้างสม่ำเสมอ และมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ใครที่ถือกองทุนนี้ตั้งแต่จัดตั้งในปี 2556 นอกจากจะได้ผลตอบแทนในส่วนเงินปันผลอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังจะได้กำไรจาก capital gain ไม่น้อยทีเดียว
อีกทั้งยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีด้วยนะ
เงินปันผลที่ได้จากการลงทุนในกองทุนนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนประเภทบุคคลธรรมดายังได้รับการยกเว้นภาษีถึง 10 ปีเต็ม ๆ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน ทำให้ได้รับยกเว้นภาษีถึงปี พ.ศ. 2566 ทำให้นักลงทุนได้รับปันผลอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกด้วย ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในกองทุน หรือตราสารอื่น ๆ ทั้งหมด ที่ส่วนใหญ่จะต้องเสียภาษี ณ ที่จ่ายจากเงินปันผลร้อยละ 10
กองทุน DIF จะเข้าลงทุนในทรัพย์สินของกลุ่มทรูเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 3 ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้
โดยเป็นการลงทุนในเสาโทรคมนาคมและสายใยแก้วนำแสง ดังนี้
- เสาโทรคมนาคม โดยลงทุนเพิ่ม 2,589 เสา จากที่มีอยู่แล้ว 12,682 เสา รวมเป็น 15,271 เสา
- สายใยแก้วนำแสง โดยลงทุนเพิ่มประมาณ 1.21 ล้าน core km. จากที่มีอยู่แล้ว 1.56 ล้าน core km. รวมเป็น 2.77 ล้าน core km.
นับว่าเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ของกองทุน ดังนั้น กองทุนจึงต้องใช้เงินลงทุนจาก 2 แหล่งคือ แหล่งเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะไม่เกิน 2,000 ล้านบาท และส่วนใหญ่จะมาจากการเพิ่มทุน โดยทรัพย์สินที่เข้าลงทุนทำให้เกิดโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติม เพื่อนำมาปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนมากขึ้นในอนาคตนั่นเอง โดยตามข้อมูล Proforma จากหนังสือชี้ชวน เงินปันผลต่อหน่วย 12 เดือนหลังจากเข้าลงทุนจะไม่ต่ำกว่า 1.04 บาทต่อหน่วยทีเดียว
ศึกษาข้อมูลให้ดีและกระจายการลงทุน
การหวังพึ่งผลตอบแทนจากสินทรัพย์เพียงไม่กี่ชนิดนับว่าเป็นความเสี่ยงหนึ่งของการลงทุน ดังนั้น เราจึงควรกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตการลงทุน การพิจารณาลงทุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเปิดโอกาสรับกระแสเงินสดอย่างสม่ำเสมอนั้น ถือว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ท่านใดที่มีความสนใจในการลงทุน ควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงจากการลงทุนก่อนการตัดสินในการลงทุนทุกครั้ง
ข้อมูลเพิ่มเติม : กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล
http://www.digital-tif.com/