เผลอแป๊บเดียวปีเสือก็กำลังจะผ่านพ้นไปนะครับ บทความสั้นฉบับนี้ผมจะขอให้มุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุน ทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ค่าเงินบาท ในปี 2554 ทั้งนี้ขอออกตัวก่อนว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิได้หมายถึงมุมมองของบริษัทฯ ที่ผู้เขียนทำงานอยู่แต่อย่างใด
เริ่มต้นที่ตลาดหุ้นครับ ผมมีมุมมองในเชิงบวกกับตลาดหุ้นไทยในปีกระต่ายทองที่กำลังจะมาถึง แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่ระดับดัชนี SET Index ในปัจจุบันที่ประมาณ 1,000 จุด หากดู Valuation แล้วจะพบว่าตลาดหุ้นไทยต้องจัดว่าราคาไม่ถูกแล้วนะครับที่ระดับ P/E Ratio ประมาณ 15 เท่า หรือ Earning Yield ประมาณ 7% อย่างไรก็ตามจุดแข็งของตลาดหุ้นไทยในปีหน้าคือการเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีแนวโน้มดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผมมองว่าน่าจะโตได้ประมาณ 20% ซึ่งถือว่าสูงทีเดียวหากเทียบกับตลาดหุ้นในประเทศอื่น ๆ นำมาสู่เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ประมาณ 1,200 จุด เผื่อไว้อีกหน่อยเป็นช่วงของดัชนีเป้าหมายโดยคิดจากระดับ P/E ที่ประมาณ 12 – 15 เท่าก็จะได้ช่วงของระดับดัชนีเป้าหมายที่ประมาณ 960 – 1,360 จุดครับ
สำหรับทิศทางค่าเงินบาท ผมมองว่าค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าต่อในปีหน้า สอดคล้องกับทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ผมมองว่าจะมีทิศทางอ่อนลงจากมาตรการอัดฉีดเงินกระตุ้นเเศรษฐกิจของ FED ประกอบกับแนวโน้มการขาดดุลอย่างต่อเนื่องของอเมริกา สำหรับค่าเงินหยวน ผมมองว่าจะแข็งค่าแต่ไม่มากนักประมาณ 3 – 5% เนื่องจากยังคงมีการแทรกแซงจากทางการ
ส่วนตลาดตราสารหนี้และทิศทางดอกเบี้ย ผมมองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 – 4 ครั้งจากการประชุม 8 ครั้งในปี 2554 โดยช่วงไหนที่ค่าเงินบาทแข็งค่ามาก ๆ ธปท.ก็น่าจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยบ้าง แต่ช่วงไหนที่ค่าเงินบาทไม่ผันผวนมาก ธปท. ก็จะทยอยขึ้นดอกเบี้ย โดยเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายปีหน้าที่ประมาณ 2.75 – 3.25% อย่างไรก็ตามแม้อัตราดอกเบี้ยจะเป็นขาขึ้น แต่ Yield ของตราสารหนี้ก็ได้ปรับตัวรับการคาดการณ์ดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว ดูได้จาก Yield ของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 – 3 ปีที่ขึ้นไปรออยู่ที่ระดับประมาณ 3% ดังนั้นตลาดตราสารหนี้ไทยในปีหน้าไม่น่าจะปรับตัวลดลงได้มากนัก สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดที่อาจจะกระทบราคาพันธบัตร คืออัตราเงินเฟ้อในปีหน้า ซึ่งถ้าทำท่าจะปรับตัวไปเลยระดับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ 0.5 – 3.0% ก็เป็นไปได้ว่า ธปท. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ผมได้คาดการณ์ไว้
สุดท้ายคือตลาดโภคภัณฑ์ ปีหน้าจะยังคงเป็นอีกปีที่ผมคงมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำและน้ำมัน ซึ่งผมมองว่าปีหน้าจะขึ้นทั้งสองตัว แต่ราคาน้ำมันจะขึ้นได้มากกว่า ส่วนราคาสินค้าเกษตร อาจต้องระมัดระวังสักนิดนึง เนื่องจากในปีนี้ราคาสินค้าบางตัวได้ปรับตัวขึ้นมามากจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาดโลก
โดยสรุป ผมมองปีหน้าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่ดีสำหรับการลงทุน โดยผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งหุ้น, กองทุน, พันธบัตร, โภคภัณฑ์ น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้มากกว่าการฝากเงินไว้เพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามทุกท่านควรเข้าใจตัวเองถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และจัดพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้สำหรับตัวเองครับ
ติดตามบทความจากเหล่ากูรูด้านการลงทุนได้ที่ http://fundmanagertalk.com และสำหรับท่านที่ชอบใช้ Social Media เชิญไปคุยกันได้ที่ http://facebook.com/fundmanagertalk และ http://twitter.com/fundtalk
สุดท้ายขอสวัสดีปีใหม่ท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอขอบคุณที่ติดตาม Fundmanagertalk.com ตลอดปีเสือที่ผ่านมา และขอให้ท่านผู้อ่านทุกคนได้รับผลตอบแทนที่ดีในปี “กระต่ายทอง” ที่กำลังจะมาถึงครับ
เจษฎา สุขทิศ, CFA.