Investment Talk – 5 ขั้นตอน กับการกระจายความเสี่ยงอย่างง่ายๆ

แชร์บทความนี้

 

การกระจายความเสี่ยง หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Diversification เป็นที่รู้จักกันในการลงทุนว่า เป็นสิ่งที่ควรทำ สำหรับนักลงทุนที่หวังจะสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว แต่สำหรับนักลงทุนรายบุคคล (Individual Investor) น้อยคนเหลือเกินที่จะเห็นความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงนี่ แต่กลายเป็นมุ่งหวังว่า จะสร้างกำไรจากสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหุ้นเพียงแค่ตัวเดียวในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ เพื่อทำกำไรโดยการใส่เงินไปไว้ในสินทรัพย์นั้นทั้งก้อน กำไรมาก็โชคดีไป และยิ่งตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นขาขึ้น เราจึงเห็นนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เห็นความจำเป็นของการกระจายความเสี่ยง เพราะซื้ออะไรไปมันก็ขึ้นมากันหมด แต่มี 2 สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือ

  • ไม่มีใครรู้ว่า ตลาดหุ้นมันจะขึ้นไปอีกนานไหม แบบเดาถูก 100% หรอก
  • การกระจายความเสี่ยงอาจลดอัตราผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนบ้างก็จริงๆ แต่สิ่งที่ลดลงด้วย และลดลงอย่างมีนัยสำคัญก็คือ ความเสี่ยง (Risk)

ผมขอเล่า 5 ขั้นตอนสำหรับการกระจายความเสี่ยงอย่างง่ายๆ เพื่อให้นักลงทุนรายย่อยสามารถนำไปใช้ในเบื้องต้นเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนตัวเองนะครับ

  1.  อย่าถือหุ้นแค่ตัวเดียว หรือ อุตสาหกรรมเดียว – แน่นอนว่า สินทรัพย์ทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในระยะยาวก็คือ “หุ้น” แต่.. นั้นคือภาพรวมของการลงทุนในหุ้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นไทยพุ่งขึ้นมาสูงๆต่อเนื่อง กลับมีหุ้นบางกลุ่มที่แทบไม่ได้ขึ้น หรือราคาลงด้วยซ้ำ สาเหตุเพราะวงจรเศรษฐกิจแต่ละรอบ และปัจจัยที่มากระทบบริษัทแต่ละบริษัทมีความแตกต่างกัน วิธีเลือกหุ้นเข้ามาในพอร์ตเพื่อกระจายการถืออย่างง่ายๆก็คือ เลือกบริษัทที่คุณรู้จัก หรือเห็นและใช้อยู่ตลอดในชีวิตประจำวัน บางคนอาจเถียงว่า ถ้าอย่างนั้นพอร์ตการลงทุนของเรา มันจะไม่อยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หรือ Retail Consumption เยอะไปหรอ? แต่การที่เรารู้จัก และใช้บริการหรือสินค้าอยู่เป็นประจำ จะทำให้เราสามารถประเมิณสถานการณ์ได้ง่ายๆ และมั่นใจมากขึ้น สำหรับการลงทุนในระยะยาว
  2. เลือก Index Fund หรือ Bond Fund เข้าพอร์ตไว้บ้าง – กองทุนรวมดัชนี หรือ กองทุนตรสารหนี้ จะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้ว สำหรับนักลงทุนที่ไม่อยากจะไปหาหุ้นที่เห็นหรือใช้อยู่ในตลาด วิธีการกระจายความเสี่ยงที่ได้ประสิทธิภาพก็คือ เลือก Index Fund ซึ่งมีหุ้นอยู่ข้างในไม่ต่ำกว่า 30 ตัวไปเลย ถ้าทำอย่างนี้ ก็การันตีได้ว่า ผลตอบแทนยังไงก็ไม่หนีจาก Benchmark ไปเยอะแน่นอน ส่วน Bond Fund ถือเป็นกองทุนที่มีการเคลื่อนไหวของราคาไม่สัมพันธ์กับหุ้น เมื่อมาอยู่ในพอร์ตการลงทุน ในช่วงที่หุ้นผันผวนมากๆ Bond Fund จะทำหน้าที่เป็นเหมือนหน่วยรับแรงกระแทก ไม่ให้พอร์ตทั้งพอร์ตของคุณผันผวนในช่วงเวลานั้นมากเกินไป ส่วนควรจะมีเยอะหรือน้อยเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ความเสี่ยงของคุณเอง
  3. อย่าหยุดเติมเงิน – การลงทุนแบบตูมเดียวเข้าทั้งก้อน (Lum-sum Investment) ก็เป็นเรื่องดีสำหรับการตั้งต้น แต่มันดูเหมือนกลายเป็นการพนันไปซักหน่อย แนะนำว่า ให้พยายามทำพอร์ตการลงทุนของคุณ เป็นเหมือนพอร์ตการออมในระยะยาว จะเพื่อการเกษียญ หรือ เพื่ออะไรก็ได้ แต่ตั้งเป้าหมายในระยะยาวไปเลย จะดีกว่า คุณอาจจะเลือกวิธี Dollar Cost Average (DCA) ในการเติมเงินเข้าไปเรื่อยๆทุกๆเดือน ตามสัดส่วนที่วางบนไว้ก็ได้ เพราะพอร์ตการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ปัจจัยสำคัญอีกอย่าง ก็คือ “วินัยในการลงทุน”
  4. ถือยาว ไม่ได้แปลว่า ห้ามขาย – บางคนเข้าใจผิดคิดว่า Buy & Hold แปลว่า ถือลืมไปเลย เข้าสู่โหมด Autopilot แล้วให้เงินมันทำงานแทน ไม่ต้องไปใส่ใจ หรือสนใจอะไรมัน ผมไม่มองว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด แต่ผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่ประมาท เพราะแม้แต่ลูกที่เรารักที่สุด เพราะเขาเป็นเด็กดี เรียนเก่ง และมีความรับผิดชอบสูง คุณก็ยังต้องคอยดูแลและตักเตือนอยู่ห่างๆตลอด นับประสาอะไรกับการลงทุนซึ่งมีปัจจัยมากระทบรอบด้านไปหมด หลักการปรับพอร์ตอย่างง่ายๆก็คือ สมมติว่า หุ้นขึ้นมาแรงมากๆ จนทำให้สัดส่วนการถือหุ้นในพอร์ตสูงกว่าตราสารหนี้มากๆ เช่นเริ่ม้ตน มีหุ้นอยู่ 70% พอหุ้นวิ่งแรงๆ 6 เดือน กลายเป็นหุ้นมีสัดส่วน 90% เพราะราคาขึ้นแรงมาก เราก็ต้องลดพอร์ตในส่วนที่กำไรเยอะๆออกไปบ้าง ขายซัก 10-20% ไปลงทุนในตราสารหนี้ เพื่อให้พอร์ตโดยรวมกลับมาเท่ากับความเสี่ยงตั้งต้นที่เราตั้งใจวางแผนไว้
  5. ค่าธรรมเนียม อีกเรื่องที่ต้องใส่ใจ – จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่า หากหักค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้น หรือค่าธรรมเนียมกองทุนออกไปให้หมดในตลาด นักลงทุนที่ลงทุนแล้วได้กำไรจะเพิ่มขึ้นทันที 20-30% นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้น จะได้กำไรเพิ่มขึ้น 4-5%ต่อปี ในขณะที่ 2-3%ต่อปี สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวม นี่แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนที่เน้นลงทุนระยะสั้น ซื้อเข้า ขายออก เร็วๆ โดยค่าธรรมเนียมไปเยอะ ผมไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องไม่ควรทำนะครับ สำหรับนักลงทุบางคนที่เก่งและถูกจริตกับการลงทุนระยะสั้นแบบนี้ และพอใจกับผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนตัวเองอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนอะไร แต่ใครมีนิสัยเทรดดิ้งเล่นสั้น แล้วมานั่งสงสัยว่า ทำไมกำไรน้อยกว่าคนอื่น ก็โปรดจงรู้ไว้ ค่าธรรมเนียมนี่ล่ะ ตัวดีเลย หรือถ้าเป็นกองทุนรวมที่มีค่าธรรมเนียมซื้อสูงๆ คุณก็ต้องมั่นใจด้วยว่า ผู้จัดการกองทุน สามารถทำผลตอบแทนส่วนเกินได้ดีกว่าดัชนีในระยะยาวคุ้มค่าพอกับสิ่งที่คุณจะจ่าย

สรุป การลงทุนเป็นเรื่องที่สนุก หากคุณรักที่จะหาข้อมูล หาความรู้ มีวิธี กลยุทธ์ในการลงทุน กระจายความเสี่ยงที่ถูกต้อง ติดตามข่าวสารอยู่ตลอด และที่สำคัญที่สุด ต้องมีวินัยในการลงทุน ในระยะยาว ผมเชื่อว่า รางวัล ที่คุณจะได้ ยังไงก็คุ่มค่า … จริงๆมันคุ่มค่าตั้งแต่คุณรักการลงทุน และสนุกกับมันแล้วต่างหาก จริงไหมครับ

“We don’t have to be smarter than the rest. We have to be more disciplined than the rest.” -Warren Buffett

Facebook Comments

แชร์บทความนี้
คุณ ชยนนท์ รักกาญจนันท์ รู้จักกันในนามแฝงในเว็บบอร์ดพันทิพย์ ห้องสินธร ว่า “Mr.Messenger” ได้แลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับการลงทุนทั้งในหุ้น และกองทุนรวมมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเป็น Strategy and Portfolio Performance Section Head ของฝ่ายธนบดี ธนาคารกรุงศรี
Posts created 16

Related Posts

Begin typing your search term above and press enter to search. Press ESC to cancel.

Back To Top