เจษฎา สุขทิศ, CFA
แล้วอีกหนึ่งปีก็ผ่านพ้นไป ในปี 2552 ที่ผ่านมานับเป็นอีกปีหนึ่งที่เกิดประวัติศาสตร์ใหม่ ๆ ในโลกของการลงทุนมากมาย ทั้งการล้มละลายของสถาบันการเงินสหรัฐฯ จำนวนมากที่เกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน, การถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศหลาย ๆ ประเทศ, การอัดฉีดเงินของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล ผมเชื่อว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นในรอบสองปีที่ผ่านมาจะเป็นบทเรียนสำคัญที่เราทุกคนจะก้าวข้าวผ่านไปในที่สุด “คุยกับผู้จัดการกองทุน” ฉบับส่งท้ายปี 2552 ผมขอนำเสนอมุมมองของผมต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทย และแนะนำการลงทุนสำหรับปี 2553 ทั้งนี้มุมมองข้างต้นเป็นมุมมองส่วนตัวของผู้เขียน มิได้สะท้อนมุมมองของบริษัทที่ผู้เขียนทำงานแต่อย่างใด ซึ่งหวังว่าจะช่วยเป็นข้อมูลสำหรับท่านผู้อ่านประกอบการตัดสินใจลงทุนครับ
ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2553
ผมมองไม่ต่างจากตลาดมากนัก คือมองว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้ดีในปีหน้า ด้านหนึ่งมาจากการฟื้นตัวของภาคส่งออก และโครงการไทยเข็มแข็งของรัฐบาล อีกด้านหนึ่งมาจากฐานของปี 2552 ที่ต่ำ ในแง่การคำนวณจึงทำให้ตัวเลขของปีถัดไปสูงขึ้น โดยเศรษฐกิจไทยปี 2553 น่าจะเป็นบวกได้ 3 – 5% เช่นเดียวกับเงินเฟ้อที่ปีนี้อยู่ในภาวะติดลบ ฐานก็เลยต่ำมาก ทำให้เงินเฟ้อในปีหน้าน่าจะเห็น 3 – 5% ในส่วนของการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย ผมคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงเดือนมิถุนายน 2553 หลังจากตัวเลข GDP ไตรมาส 1 ปี 2553 ประกาศออกมายืนยันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยผมมองว่าอัตราดอกเบี้ยจะทยอยปรับตัวขึ้นครั้งละ 0.25% ในการประชุมแต่ละครั้ง และขึ้นไปสู่ระดับ 2.50 – 2.75% ณ สิ้นปี 2553 สุดท้ายคือเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ผมมองว่าค่าเงินบาทในปีหน้าจะแข็งค่าได้อีกเพียงเล็กน้อยจากระดับปัจจุบัน อยู่ในช่วง 32.50 – 33.50 จากภาวะการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะมีต่อเนื่องในปีหน้า อย่างไรก็ตามค่าเงินดอลลาร์ เมื่อวัดจาก Dollar Index ไม่น่าจะทำจุดต่ำสุดใหม่ เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะฟื้นตัวได้ดีกว่ายุโรป และญี่ปุ่น
การจัดพอร์ตลงทุนสำหรับปี 2553
แม้เศรษฐกิจปี 2553 จะมีแนวโน้มฟื้นตัวค่อนข้างชัดเจน เงินเฟ้อและดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะเป็นขาขึ้น ผมมองว่าตลาดได้รับข่าวสารไปพอสมควรแล้ว ดูได้จากค่า P/E Ration ของ SET Index บน Earnings ของปี 2553 อยู่ที่ประมาณ 12.8 เท่า ซึ่งผมมองว่าหุ้นไทยราคาไม่ถูก ในแง่ผลตอบแทนของ SET Index ในปีหน้าผมจึงมองว่าไม่น่าจะสูงมากนัก น่าจะอยู่ในช่วง 0 – 10% และหุ้นกลุ่มที่น่าจะให้ผลตอบแทนน่าจะเป็นหุ้น Value Stock หรือพวก Small – Mid Cap ที่ P/E ยังค่อนข้างต่ำ และมีแนวโน้มผลประกอบการที่สม่ำเสมอ ในส่วนของตลาดตราสารหนี้ Yield ของพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 5 ปีปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.6% ซึ่งปรับตัวขึ้นจาก 2.1% ในช่วงต้นปี 2552 ที่ผ่านมา เท่ากับว่าตลาดตราสารหนี้ก็ได้คาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วในระดับหนึ่ง หากดูโดยใช้ Forward Curve (ซึ่งขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดในบทความนี้) จะพบว่า Yield Curve ของไทยได้คาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 1% ไปแล้ว ดังนั้นผมจึงมองว่า Yield ของพันธบัตรไทยในปีหน้าไม่น่าจะปรับตัวขึ้นได้อีกมากนัก และดัชนีราคาพันธบัตรไทยน่าจะให้ผลตอบแทนได้ 3 – 5% สุดท้ายคือพระเอกของปี 2553 ในความเห็นของผม ผมชอบสินค้าโภคภัณฑ์ในปี 2553 มากกว่า Asset Class อื่น ๆ ผมมองว่าราคาน้ำมัน และสินค้าเกษตร น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% ในปี 2553 จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อ ส่วนราคาทองคำน่าจะปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในปี 2553 เนื่องจากแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ตามผมยังคงยืนยันมุมมองเชิงบวกต่อราคาทองคำสำหรับการลงทุนในระยะยาวจาก Demand for Investment ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
สำหรับท่านผู้อ่านที่สนใจเรื่องเศรษฐกิจและการลงทุน สามารถติดตามได้ใน http://fundmanagertalk.com หรือหากคุณนิยมเล่น Facebook สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ที่ http://facebook.com/FundManagerTalk สุดท้ายนี้ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่กับท่านผู้อ่านทุกท่าน และขอให้ทุกท่านมีผลตอบแทนการลงทุนที่ดี สมความตั้งใจในปี 2553 ที่กำลังจะมาถึงนี้ครับ