พบกันอีกครั้งในคอลัมน์ “คุยกับผู้จัดการกองทุน” ครับ สัปดาห์นี้เราจะมาคุยกันเรื่องเงินเอเชียสองสกุล ที่แม้จะอยู่ทวีปเดียวกันแต่มีแนวโน้มเคลื่อนไหวค่อนข้างจะตรงข้ามกันครับ อันดับแรกคือค่าเงินเยนของประเทศญี่ปุ่นซึ่งในระยะหลังปรับตัวอ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญ สังเกตง่าย ๆ จากการที่คนไทยปีนี้ไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะเป็นพิเศษ จากเดิมเงิน 100 เยนราคา 38 บาทในปีที่แล้ว วันนี้เงิน 100 เยนราคาเพียง 32 บาท (ช่วงกลางปีลงไปต่ำสุดที่ 29 บาท) สินค้าญี่ปุ่นที่เคยว่าแพงก็เริ่มจะดูแพงน้อยลงในช่วงนี้
สาเหตุหลักที่ค่าเงินเยน อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมานั้นมาจากการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยธนาคารกลางญี่ปุ่น ซึ่งมีปริมาณมากถึง 1.4 ล้าน ๆ ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเม็ดเงินดังกล่าวจะทยอยเป่าเข้าสู่ระบบในปี 2556 – 57 ส่งผลให้ปริมาณเงินเยนในระบบเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศญี่ปุ่นกลับมามีเงินเฟ้อที่ระดับ 2% จากเดิมที่อยู่ในภาวะเงินฝืดมานานนับสิบปี
ในด้านพื้นฐานค่าเงินที่อ่อนค่ามีส่วนช่วยภาคการส่งออก และภาคการท่องเที่ยว รวมไปถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในภาคการส่งออก ในด้านตลาดการเงิน ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นได้ส่งผลให้เงินบางส่วนโยกไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น หุ้น อสังหาฯ เป็นที่มาทำให้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวขึ้นกว่า 50% ในรอบปีที่ผ่านมา โดยทางบลจ.ซีไอเอ็มบี พรินซิเพิล ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นต่อเนื่องไปจนถึงปี 2557
กราฟข้างต้นแสดงการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน และค่าเงินหยวนในรอบ 15 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งค่าเงินหยวน (สีเข็ม) แข็งค่าจากประมาณ 6.35 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์มาที่ประมาณ 6.1 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ ขณะที่ค่าเงินเยน (สีอ่อน) อ่อนค่าจากประมาณ 80 เยนต่อ 1 ดอลลาร์มาที่ประมาณ 97 เยนต่อ 1 ดอลลาร์
หากพูดถึงเงินหยวนประเทศจีนนับว่ามีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักเงินสกุลนี้ เนื่องจากมีการใช้กันอย่างแพร่หลายมากในปัจจุบันหรือเรียกว่ามีความต้องการซื้อขายกันล้นหลามเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าที่ซื้อของจากจีนมาขายในประเทศซึ่งต้องจ่ายค่าสินค้าเป็นเงินหยวน กลุ่มวัยกลางคนที่เข้าไปท่องเที่ยวในประเทศจีนมากขึ้น รวมไปถึงกลุ่มแม่บ้านที่ซื้อทัวร์ไปไหว้พระสวดมนต์ในประเทศจีน ซึ่งเราเรียกรวมๆว่าการค้าระหว่างประเทศนั่นเอง การค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดการสะพัดของเงินหยวนที่มากขึ้น (Capital Flow) ซึ่งดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจากการติดต่อซื้อขายกับต่างชาติ เมื่อเงินหยวนเป็นที่ต้องการของต่างชาติมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการแข็งค่าของค่าเงิน ซึ่งเกิดจาก 3 ตัวแปรหลักคือ ความต้องการเงินหยวนที่แท้จริงจากทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น นโยบายจากภาครัฐที่ต้องการให้เงินหยวนเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินหลักของโลก และปัจจัยบวกระยะสั้นจากนอกภูมิภาค
รัฐบาลจีนได้สนับสนุนการใช้เงินหยวนในรูปแบบต่างๆโดยมีความมุ่งหมายให้เงินหยวนเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินหลักของโลก ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแทรงค่าเงินเพื่อให้เงินหยวนมีความผันผวนต่ำและเหมาะสมต่อการค้าการลงทุน การสนับสนุนการลงทุนในประเทศจีนในด้านกฏหมายและการสร้างแรงจูงใจต่างๆเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในจีนมากขึ้น โดยสามารถดูได้จากค่า FDI (Foreign Direct Investment) ที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง และการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อให้บริษัทต่างชาติระดมทุนในสกุลเงินหยวนเพื่อสร้างปริมาณการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเดือนกันยายน 2556 ที่ผ่านมา นักการเงิน นักลงทุนประชาชนทั่วโลกต่างจับตาการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ที่หัวข้อการหารือเกี่ยวกับการลดปริมาณการอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ หรือ (Quantitative Easing : QE) โดยผลการประชุมสรุปว่ายังไม่มีการลด QE เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐพึ่งอยู่ในช่วง “เริ่มฟื้นตัว” ซึ่งผิดความคาดหมายของนักวิเคราะห์ นักการเงิน และนักเศรษฐศาสตร์เป็นอย่างมาก โดยรัฐบาลสหรัฐยังคงพิมพ์เงินดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อ ส่งผลให้เงินหยวนเทียบกับดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในทันทีหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
ถ้าในด้านการลงทุน หากถามว่า “เงินหยวนแข็ง” แล้วลงทุนอะไรดี คำตอบง่าย ๆ ก็คือลงทุนใน “เงินหยวน” หรือ “ตราสารหนี้สกุลเงินหยวน” ครับ ปัจจุบันกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินหยวนเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากมุมมองการแข็งค่าของสกุลเงินหยวนข้างต้น นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการลงทุนเพื่อรับอานิสงส์ของการแข็งค่าของเงินหยวน คือการลงทุนในหุ้นกู้อนุพันธ์ (structure note) ที่ผลตอบแทนส่วนหนึ่งไปผูกกับการแข็งค่าของเงินหยวน ซึ่งเริ่มมีธนาคารพาณิชย์ และกองทุนบางแห่งนำเสนอผลิตภัณฑ์นี้แล้วเช่นกันครับ ทั้งหมดก็เป็นการเผยเคล็ด(ไม่)ลับ การลงทุนในภาวะ “หยวนแข็ง เยนอ่อน” เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการจัดพอร์ตลงทุนของท่านนักลงทุนครับ
เจษฎา สุขทิศ, CFA